แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 14
1
ข้อมูลโรคถุงน้ำอัณฑะ (Hydrocele)/กล่อนน้ำ

ปกติอัณฑะมีเยื่อหุ้มอยู่ 2 ชั้น และโพรง (ช่องว่าง) ระหว่างเยื่อหุ้มทั้ง 2 ชั้น จะมีของเหลวเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยหล่อลื่น แต่บางครั้งอาจเกิดมีของเหลวขังอยู่ในโพรงนั้นเป็นจำนวนมาก ทำให้กลายเป็นถุงน้ำ เรียกว่า ถุงน้ำอัณฑะ หรือไฮโดรซีล (hydrocele) โบราณเรียกว่า กล่อนน้ำ

โรคนี้พบได้บ่อยในทารก แต่อาจพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ได้ทุกวัย

สาเหตุ

สำหรับทารกมักเป็นมาแต่กำเนิดโดยไม่ทราบสาเหตุ พบว่าทารกคลอดก่อนกำหนดมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าปกติ โดยเฉลี่ยพบภาวะนี้ได้ราวร้อยละ 5 ของทารกแรกเกิด และอาจมีไส้เลื่อนเกิดร่วมด้วย

สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ มักเกิดภายหลังได้รับบาดเจ็บ มีการติดเชื้ออักเสบของอัณฑะ (รวมทั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนหลังการใช้รังสีบำบัด (โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก)


อาการ

อัณฑะบวม มีลักษณะเป็นก้อนนุ่มที่ถุงอัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้างโดยไม่ยุบหายไม่ว่าจะอยู่ในท่าใดและไม่มีอาการเจ็บปวด

ในผู้ใหญ่อาจมีความรู้สึกมีก้อนหน่วง ๆ ที่บริเวณอัณฑะ บางครั้งก้อนอาจเล็กลงตอนเช้า และกลับโตขึ้นในตอนสาย ๆ หรือช่วงบ่าย ๆ


ภาวะแทรกซ้อน

ถุงน้ำนี้มักไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใด นอกจากถ้าโตมาก ๆ อาจทำให้รู้สึกเดินไม่ถนัดหรือปัสสาวะไม่สะดวก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจร่างกายพบก้อนนุ่มที่อัณฑะ เวลาใช้ไฟฉายส่องจะเห็นโปร่งแสง ภายในจะมีของเหลวใส

ถ้าไม่แน่ใจ แพทย์จะทำการตรวจอัลตราซาวนด์ และอาจตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อแยกออกจากสาเหตุอื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ถ้าถุงน้ำไม่โตมากและพบในทารก ก็ไม่ต้องทำอะไร อาจหายได้เมื่ออายุได้ราว 1 ปี

ถ้าก้อนโตมากหรือไม่ยอมยุบหาย แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัด (สำหรับทารกมักทำการผ่าตัดเมื่ออายุ 12-18 เดือน)

ในรายที่ผ่าตัดไม่ได้ (เช่น ผู้สูงอายุที่อาจเสี่ยงต่อการผ่าตัด) อาจรักษาด้วยการใช้เข็มเจาะดูดเอาน้ำออกและฉีดสารป้องกันไม่ให้กำเริบ

ผลการรักษา การผ่าตัด มักจะช่วยให้หายขาด แต่บางรายอาจกำเริบขึ้นมาได้อีก


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น อัณฑะบวม หรือมีก้อนที่ถุงอัณฑะข้างใดข้างหนึ่ง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นถุงน้ำอัณฑะ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ถุงน้ำอัณฑะที่พบในทารก หลังอายุ 1 ปีแล้วยังไม่ยุบ
    รู้สึกปวดท้อง ปวดอัณฑะ หรือถ่ายปัสสาวะลำบาก
    ในรายที่แพทย์รักษาด้วยการผ่าตัดหรือใช้เข็มเจาะดูด หลังการรักษา มีอาการปวดอัณฑะ อัณฑะบวมแดง หรือมีเลือดออก
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. สำหรับถุงน้ำอัณฑะชนิดที่เป็นมาแต่กำเนิดยังไม่มีวิธีป้องกัน เนื่องเพราะยังไม่ทราบสาเหตุ อาจลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะนี้ลงด้วยการฝากครรภ์เวลาตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันทารกคลอดก่อนกำหนดซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากกว่าทารกคลอดครบกำหนด

2. สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ อาจป้องกันด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้

    ป้องกันการบาดเจ็บบริเวณอัณฑะ เช่น ขณะเล่นกีฬาใช้อุปกรณ์ป้องกันการบาดเจ็บของอัณฑะ
    ป้องกันการติดเชื้อของอัณฑะ เช่น ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์


ข้อแนะนำ

อาการอัณฑะบวมอาจมีสาเหตุจากไส้เลื่อน ถุงน้ำอัณฑะ อัณฑะอักเสบ มะเร็งอัณฑะ และอัณฑะบิดตัว

ผู้ที่อยู่ ๆ มีอาการอัณฑะข้างหนึ่งปวดและบวมซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันและอย่างต่อเนื่องไม่ทุเลา และอัณฑะข้างที่ปวดยกขึ้นสูงกว่าระดับปกติหรือทำมุมผิดจากปกติ ควรนึกถึงโรคอัณฑะบิดตัวและรีบไปพบแพทย์ทันที

2
โทรศัพท์มือถือใหม่ 2024: วีโว่ vivo X100 Pro (16GB/512GB)
37,999 บาท

วีโว่ vivo X100 Pro (16GB/512GB)
สแตนเลสผิวเงา เลนส์กระจก Corning® Gorilla® Glass Victus® ขอบโค้งมน 2.5D
ZEISS การถ่ายภาพระดับโปร สู่ยุคใหม่ของภาพถ่ายระดับสูง
เลนส์ ZEISS ความคมชัดและการโฟกัสขั้นสูง
กล้องเทเลโฟโต้ เลนส์ ZEISS APO Floating มาตรฐานใหม่สำหรับเลนส์เทเลโฟโต้
Dimensity 9300 สถาปัตยกรรมแบบ CPU คอร์ใหญ่ทั้งหมด

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น            วีโว่ vivo X100 Pro (16GB/512GB)
   ราคากลาง         37,999 บาท
   จำนวนซิม         2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์         จอสัมผัส
   สี                   Black(Asteroid Black)
   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                    ยาว 164.05 x กว้าง 75.28 x หนา 8.91 มม., น้ำหนัก 225 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)   512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด     -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ        ความจุแบตเตอรี่ 5,400 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                   จอสัมผัส (AMOLED)
   ความละเอียด            6.78 นิ้ว, 452 ppi, 1,260 x 2,800 px
   รายละเอียดอื่น
อัตรารีเฟรช สูงสุด 120 Hz
ความอิ่มตัวของสี 105% NTSC
วัสดุเปล่งแสง VM7
การสัมผัสหน้าจอ Capacitive multi-touch
ความสว่างสูงสุดเฉพาะส่วน 3000 nits
ขอบเขตสี 100% DCI-P3

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                   กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (32 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                 -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)             Dimensity 9300 | 8 Cores
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)               16.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก               USB(USB Type-C, USB 3.2 Gen1), Bluetooth(5.4), NFC, Wi-Fi(Wi-Fi 6, Wi-Fi 7, WLAN 2.4 GHz/5 GHz/6 GHz, Wi-Fi Display, 2 x 2 MIMO, MU-MIMO)
   ระบบรับส่งข้อความ                    -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต              3G, WiFi, 4G, 5G

3
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน ปวดฟันหรือไม่

การเข้ารับการจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะการเข้ารับการจัดฟันสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้แทบทุกกรณี เพราะหลายคนที่มีปัญหาในเรื่องของลักษณะฟันหรือรูปร่างฟัน แน่นอนว่า จะมีปัญหาในเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การทำความสะอาดฟัน เนื่องจากหลายคนที่มีปัญหาฟัน จะทำให้การบดเคี้ยวอาหารได้ไม่สะดวก และในเรื่องของการทำความสะอาดฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุได้ ซึ่งโรคฟันผุ มีสาเหตุหลักๆมาจากการทำความสะอาด การดูแลฟันที่ไม่ดี ซึ่งการเกิดฟันผุนั้น ทำให้หลายคนมีอาการปวดฟันได้ โดยอาการปวดฟันนั้นถือเป็นปัญหากวนใจที่ทำให้ใครๆหลายคนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

ซึ่งถ้าหากคนที่มีปัญหาในเรื่องลักษณะของฟัน การเข้ารับการจัดฟัน ถือว่าเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด ซึ่งคนที่มีปัญหาฟันอาจจะกังวลว่า การเข้ารับการจัดฟันนั้น จะทำให้เรารู้สึกเจ็บหรือไม่ ต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันที่ได้รับความนิยมก็คือการจัดฟันแบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน และการเข้ารับการจัดฟันแบบใส ที่หลายคนมักจะพบได้บ่อย แต่การเข้ารับการจัดฟันแบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ง่าย เพราะเครื่องมือภายในช่องปากอาจจะทำให้เกิดบาดแผลภายในช่องปากได้ แต่การดึงเครื่องมือในแต่ละครั้งอาจจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ แต่การเข้ารับการจัดฟันแบบใส นอกจากจะมีความแตกต่างจากการจัดฟันแบบทั่วไปแล้ว ยังทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส รู้สึกสบายด้วย และไม่เจ็บปวด

สำหรับใครที่กำลังสนใจที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส คงจะกังวลว่า การจัดฟันแบบใสนั้น จะทำให้เจ็บปวดหรือไม่ ก่อนอื่นเราจะอธิบายการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันก่อน การทำงานของเครื่องมือการจัดฟัน จะทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของฟันด้วยแรงที่เบามาก แทบจะไม่รู้สึกเลย การสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน จะช่วยทำให้เครื่องมือการจัดฟัน สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น การเข้ารับการจัดฟันแบบใส จะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ แถมการสวมใส่เครื่องมือก็มีความกระชับมากกว่า เพราะเครื่องมือที่ถูกออกแบบมานั้น ออกแบบเฉพาะบุคคล ทำให้มีความพอดีกับช่องปาก และไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองภายในช่องปาก

ดังนั้นคำถามที่ว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใส นั้นจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดบริเวณฟันหรือไม่ จึงสรุปได้ว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใส จะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บอย่างแน่นอน นอกจากการจัดฟันแบบใส จะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บแล้ว การเข้ารับการจัดฟันแบบใส ยังช่วยทำให้เรามีฟันที่สวยงามโดยที่คนอื่นมองแทบไม่ออกเลยว่า คุณกำลังเข้ารับการจัดฟันอยู่


นอกจากนี้ยังช่วยทำให้สามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็คือจุดเด่นและเอกลักษณ์ของการจัดฟันแบบใส ที่มีความแตกต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่นๆ และยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้แทบทุกกรณีเลยทีเดียว  แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส ควรจะมีระเบียบวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันด้วย อย่างน้อยวันละ 22 ชั่วโมงหรือตามที่ทันตแพทย์แนะนำ เพื่อที่จะได้มีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และมีผลการรักษาตามที่ทันตแพทย์ได้วางแผนไว้ด้วย


หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันแบบใส และด้านทันตกรรมอย่างครบวงจร ทางเรายังได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้อย่างถูกต้องและมีมาตรฐานสากล ทำให้เรามีความน่าเชื่อถือ และทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันทุกคนมั่นใจได้ว่า เมื่อเข้ารับการรักษาจากทางคลินิกของเรา ท่านจะได้รับการรักษาที่มีความปลอดถัยมีมาตรฐานอย่างแน่นอน ทำให้คุณมีฟันที่สวยงาม ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

4
รถยนต์ไฟฟ้า ALL NEW MG3 HYBRID+ พลังไฮบริดแรงจริงและประหยัด 20++ กม./ลิตร

ALL NEW MG3 HYBRID+  รถยนต์พลังไฮบริดที่ดี่อีกรุ่นหนึ่งของ MG และไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ขนาดนี้ !.....กล้าบอกเลยครับว่าเป็นรถ Hatchback 5 ประตูระดับ B-Segment ที่ให้ทั้งความทันสมัย ความแรงสั่งได้และให้ความประหยัด 20++ กม./ลิตร! พร้อมความปลอดภัย ADAS ในคันเดียว รุ่น D ราคา 559,900 บาท* (จาก 579,900 บาท) และรุ่น X ราคา 599,900 บาท* (619,900 บาท)
*ราคานี้ 1,000 คันแรกเท่านั้น หลังจากนั้นปรับเพิ่มรุ่นละ 20,000 บาท

ทริปนี้เป็นการนั่งเครื่องฯ ไปเชียงใหม่และขับจากเชียงใหม่ลงกรุงเทพฯ โดยรถยนต์ MG3 Hybrid+ ทั้งหมด 9 คัน รถสำหรับสื่อมวลชน 7 คัน และรถทดลองอัตราสิ้นเปลืองและการใช้น้ำมัน 1 ถัง วิ่งได้แค่ไหนอีก 2 คัน และทดสอบความประหยัดจากหลาย ๆ สื่อฯ ด้วยการรขับตามสไตล์แต่ละบุคคล และการตั้งใจขับให้ประหยัดโดยทีมงาน MG เอง ว่าจะสามารถทำความประหยัดได้จริงถึง 20 กม./ลิตร และใช้น้ำมันถังเดียวจากเชียงใหม่กลับกทม.ได้จริงหรือไม่?

 Hybrid+ (Plus) มันทำงานยังไงก่อน?

เอาล่ะขอเล่าถึงรายละเอียดระบบ ระบบ HYBRID+ ใหม่ล่าสุดใน MG3 คันนี้ที่ดีกว่าใน MG VS HEV แบบหนังคนละม้วน!!!!
สมรรถนะของระบบ HYBRID+ ที่มีการบริหารพลังงานในแบบรถยนต์ไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อนให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 250 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์ ผสานเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร พัฒนาขึ้นใหม่ ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 กำลังรวมสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง พร้อมเกียร์ 3 ระดับ ที่ทำงานในแต่ละเงื่อนไข เช่น EV ล้วนใช้เกียร์ 1. ไฮบริดทำงานในความเร็วกลาง ๆ เกียร์ 2 และความเร็วสูง ๆ เครื่องยนต์ล้วน ๆ เกียร์ 3 เพื่อให้รอบเครื่องต่ำประหยัดน้ำมัน เป็น (ตำแหน่งเกียร์อาจไม่ได้เรียงลำดับตามนี้) และสามารถขับเคลื่อนระบบไฮบริดได้ในหลายรูปแบบ ได้แก่

ขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid)
ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์ และมอเตอร์ (Parallel Hybrid)
การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) โดยสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว

สำหรัลบการทำงานของระบบไฮบริดพลัสทั้ง 8 โหมด เป็นการปรับเปลี่ยน คำนวนและเรียนรู้ในการผสานพลังงานระหว่างเครื่องยนต์+มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน+เจนเนอเรเตอร์+โหมด EV ไฟฟ้าล้วน และการรีเจนฯ ไฟกลับ ที่จะสลับหรือแบ่งการทำงานแบบละเอียดยิบ

 1.โหมดจอดหยุดนิ่ง
ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (HV BATTERY) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน

 2.โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0 – 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ

 3.โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น
เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30 – 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น

 4.โหมดความเร็ววิ่งในเมือง
แต่หากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50 – 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะยังช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง

 5.โหมดความเร็ววิ่งคงที่
เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา

 6.โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันที เมื่อต้องการเร่งแซงหรือขึ้นทางชัน รถจะสามารถให้อัตราเร่งสูงสุดและตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไป

 7.โหมดความเร็วสูง
และเมื่อใช้ความเร็วสูงกับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงาน อย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจนเนเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่

 8.โหมดลดความเร็ว Regenerative
เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด

 ด้วยทั้งหมดนี้ จึงสามารถทำความแรงได้และยังให้ความประหยัดไปพร้อม ๆ กัน และถือว่าการทำงานระบบไฮบริดใน MG 3 ใหม่นี้คล้าย ๆ กับในรถยนต์ญี่ปุ่นค่ายดัง

ภายนอก

ภายนอกกันชนหน้าดีไซน์เส้นสายและมีความเหลี่ยมคมในแบบฉบับของ MG เต็มคราบ ไฟหน้า LED Projector เมื่อมองบางมุมอาจจะคล้ายอีโค่คาร์เจ้าตลาดจนแทบแยกไม่ออกเหมือนกัน ถ้าไม่สังเกตไฟหน้าอาจจะสับสนได้ ส่วนกระจกบานหน้าติดตั้งกล้องระบบ "ADAS" (เฉพาะรุ่นท็อป)

กระจกมองข้างทรงสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยว LED ติดตั้งกล้องมองด้านข้าง ส่วนท้ายแบบแฮชต์แบ็กที่มีกลิ่นไอรถยุโรปและญี่ปุ่นบ้างรุ่นปนกันไป แต่ส่วนตัวกลับชอบดีไซน์ท้ายกว่ากว่าด้านหน้า เพราะให้ความรู้สึกกลมกลืนกับรูปทรงตัวรถโดยรวม หากกันชนหน้าปรับลบมุมให้กลมกลมกลื่นรับกับฝากระโปรงและไฟหน้าได้จะยิ่งดูลงตัวมากขึ้นไปอีก ส่วนล้ออัลลอยใช้ขนาด 16 นิ้ว ยาง 195/55R16 ของ "LANCASTER"     

 ภายในและความสะดวกสบาย

ภายในนับว่าสวยลงตัวและมีฟังก์ชั่นลูกเล่นเยอะโดยเฉพาะมาตรวัดคนขับขนาด 7 นิ้ว ที่ในพื้นฐานจาก MG4 แต่ปรับรายละเอียดการแสดงผลให้เหมาะกับรถยนต์ไฮบริดด้วยการเพิ่มหน้าแสดงการไหลเวียนระบบไฮบริด เป็นต้น ส่วนจอกลางสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ก็ใช้ร่วมกับ MG4 พร้อมปรับการแสดงผลให้เหมาะสมเช่นกัน

 โดยเมนูต่าง ๆ แทบจะเหมือนกับรุ่น MG4 มีรายละเอียดแตกต่างในบางอย่างเช่น ระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ซึ่งบนจอมีฟังก์ชั่นตั้งค่าต่าง ๆ มากมายหลัก ๆ คือ การตั้งค่าระบบช่วยเหลือการขับขี่ ส่วนด้านล่างขอบจอกลางนั้นก็มี "ปุ่มลัด" ไว้ให้ใช้งานที่ง่ายและสะดวก รวมถึงสามารถตั้งหน้าเมนูที่ใช้งานประจำได้บนปุ่มรูป "ดาว" บนพวงมาลัยอีกด้วย

 เบาะนั่งคนขับปรับมือ 4 ทิศทางพร้อมสูง-ต่ำได้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นปรับไปเพียง 2 ทิศทางเท่านั้น แต่ก็ยังพอขับได้ด้วยท่าทางและระยะของตัวเบาะ พวงมาลัย และแป้นเหยียบที่ปรับให้พอดีได้ไม่ยากนัก ตัวที่นั่งของเบาะมีความเล็กและแคบไปหน่อยสำหรับผู้ทดสอบ แต่เนื้อสัมผัสนุ่มดีและพอจะมีปีกของเบาะพิงให้ล็อคตัวคนขับในเวลาเข้าโค้งดหด ๆ ได้บ้าง  ห้องโดยสารตอนหลังไม่แคบอย่างที่คิด จากที่ลองทดสอบนั่งเองและให้ คุณแพนแห่ง DayDreamDrive ให้เกียรติมาลองนั่งถือว่านั่งได้ แม้จะดูอึดอัดไปบ้าง แต่ว่าพื้นที่ใช้จริง ๆ นั้นมีความใกล้เคียงกับใน City Hatchback, Yaris Hatchback อาจเล็กกว่าในแนวยาวแต่ด้านความกว้างพอ ๆ กัน และมีความกว้างกว่า Swift และ Mazda2 อยู่พอสมควรเลยครับ

 ส่วนใต้ช่องแอร์กลางนั้นมีที่วางและเป็นแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พร้อมช่องจ่ายไฟ USB-A และ C ที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ถัดมาเป็นชุดสวิตช์หมุนเปลี่ยนเกียร์ที่ดูพรีเมียมทันที พร้อมที่วางแขน และมี USB-A ที่ด้านหลังเท้าแขนสำหรับผู้โดยสารหลัง 2 ตำแหน่ง เบาะพับ 60 : 40 ได้แต่ไม่แบนราบ พร้อมแอร์หลังอีกด้วย นับว่าให้ออปชั่นมาคุ้มค่ามาก ซึ่งเจ้าแอร์หลังนี้เป็นผลพลอยได้จากการใช้ลมเย็นเพื่อระบายความแบตฯ ที่อยู่ใต้เบาะนั่งตอนหลังนั้นเองครับ

 สมรรถนะ แรงและประหยัด 1 ถังเชียงใหม่-กทม. สบาย ๆ

สมรรถนะของ MG3 Hybrid+ จัดจ้านตั้งแต่แตะคันเร่ง การเร่งออกตัวพุ่งและตอบสนองได้ดี นับว่าใกล้เคียงหรือตรงปกกับตัวเลข 0-100 กม./ชม. ที่เคลมไว้ 8 วินาที โดยมีสื่อหลายท่านทดสอบจับเวลาได้ราว ๆ 7.8 - 8 วินาทีเท่านัน อัตราเร่งระดับนี้นับว่า "ว้าวมาก" และแรงกว่าในรถระดับเดียวกันอย่างชัดเจนครับ

 ในความเร็วสูง ๆ นั้น พลังของระบบไฮบริดไม่มีแผ่วยังสามารถไต่ความเร็ซขึ้นไปแบบน่าทึ่งจริง ๆ จาก 80 - 120+ กม./ชม. ใช้เวลาไม่นานจากที่เคยทดสอบรถยนต์ในคลาสนี้และสูงกว่านี้ กล้าบอกเลยครับว่า MG3 คันนี้ เร่งได้ดีกว่ารถไฮบริดเซกเมนต์ใหญ่ ๆ บางรุ่นเลยทีเดียว

แรงได้ตามสั่งตราบใดที่ "ระดับแบตฯ ยังเหลือ"
สมรรถนะของ MG3 Hybrid+ นั้น หลัก ๆ มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าถ้ามีระดับแบตฯ เหลือไม่ต่ำกว่า 2 - 3 ขีด พลังในการเร่งแวงจะมีให้แบบเต็มที่ แต่เมื่อไหร่ที่ระดับแบตฯ ลดลงเหลือ 1 ขีด ระบบจะคงไว้เพียงพลังเครื่องยนต์เพียว ๆ ทำให้ "เหี่ยว" อย่างชัดเจนเลยครับ เรียกว่า ถ้าจะขับแบบลองอัตราเร่งบ่อย ๆ นั้น ให้เว้นช่วงที่เครื่องยนต์หรือระบบไฮบริดปั่นไฟกลับแบตฯ คงเหลือเผื่อเอาไว้ในระดับที่พร้อมเร่งได้ตลอดเวลา แต่ถ้าขับขี่ปกติทั่วไปนั้น แบตฯ จะอยู่ในระดับกลาง ๆ เสมอ

 การควบคุมพวงมาลัยน้ำหนักดีไม่หนักและเบาเกินไป ปรับตั้งได้แม่นยำและให้ความมั่นใจไม่แพ้ระดับ C-Segment บางรุ่นด้วยซ้ำไปครับ ระบบช่วงล่างแน่น ๆ หนึบ ๆ ออกไปทางกระเด้งในความเร็วระดับกลาง ๆ ที่ความเร็วต่ำยังพอมีระยะยุบให้นุ่มนวลบ้างไม่จุกเวลาตกหลุมบ่อแรง ๆ นับว่าความเร็ซต่ำก็สบายความเร็วสูง ๆ ก็ให้ความมั่นใจได้ดีกว่ารถในระดับเดียวกับหลายรุ่นเลยครับ ฟันธงเลยว่าหากเทียบกับรถในคลาสเดียวกันหรือกลุ่มราคาใกล้เคียงแล้ว MG3 คันนี้ ให้ความแรงและช่วงล่างที่มั่นใจกว่ารถยนต์หลายรุ่น

   มีอาการ "เชนเกียร์" ในบางครั้ง
อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนของ MG3 Hybrid+ ก็ยังมีอาการแปลก ๆ ให้งง ๆ เล็กน้อย นั่นคือ การขับขี่ในช่วงความเร็วยืนพื้น 98 - 99 กม./ชม. และถ้าต้องเร่งแซงหรือต้องการกำลังในการขึ้นทางชัน จะมีอาการ "หวืด" เหมือนการเปลี่ยนเกียร์ในรถยนต์เกียร์ธรรมดา แต่ใช้เวลาสั้น ๆ รถจึงจะเร่งขึ้นไปตามเท้า จากการวิเคราะห์แล้วคาดว่าเกิดจากการที่มีระบบเกียร์ 3 อัตรทด ซึ่งในบางช่วงความเร็วขับขี่นั้น ขับความเร็วคงที่ระบบเข้าใจว่าไม่ต้องใช้กำลังมากนักจึงปรับอัตราทดให้สูงเพื่อรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลงช่วยประหยัดน้ำมัน แต่ก็เป้นจังหวะที่กำลังก็อยู่ในย่านต่ำเช่นกัน เมื่อมีการเติมคันเร่งระบบจึงคำนวนใหม่หาความเร็วรถ ความเร็รอบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ให้พอดีกับช่วงขณะนั้น ทำให้มีอาการเหมือน "เชนเกียร์" นั้นเอง สำหรับอาการนี้หากขับในความเร็วคงที่เรื่อย ๆ ไม่เติมคันเร่งลึกมาก ๆ ก็จะแทบไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนอัตราทดนี้เลย

 ระบบความปลอดภัย ADAS เกือบครบขาดไม่กี่อย่าง
ระบบความปลอดภัย ADAS ใน MG3 คันนี้ จากที่ได้เปิดใช้งานจริง ระบบควบคุมความเร็ซแปรผันใช้งานได้เนียนและสมูท แต่เว้นระยะห่างจากคันหน้ามากเกินไปแม้จะตั้งให้ใกล้สุดแล้วก็ตาม ทำให้ช่องว่างด้านหน้าที่เว้นเอาไว้พอสำหรับรถ 1 คัน สบาย ๆ ทำให้เมื่อใช้งานจริงมักจะมีรถเข้ามาแทรกเข้าด้านหน้าเสมอ

 ส่วนระบบเตือนและควบคุมรถในอยู่ในเลนก็ทำงานได้ดี จับเส้นถนนได้ไว้ แต่ก้มีบ้างที่แอบ "หลุด" หรือทำงานได้ไม่เต็มที่มีเตือนและไม่เตือนบ้างในบางจังหวะหรือเจอถนนที่มีเส้นแบ่งเลนที่ไม่ชัดเจน ส่วนระบบเตือนเบรกก่อนการชนด้านหน้าที่ทำงานได้ดี และยังสามารถตั้งค่าการเตือนได้ 3 ระดับ เพื่อความสะดวกสบายและคุ้นเคย และกล้องรอบคันทีชัดพอประมาณ แต่ขอบ ๆ ของภาพยังมีแตก ๆ และการเคลื่อนไหวยังมีสะดุดบ้าง นอกจากนี้เมื่อเปิดไฟเลี้ยวยังมีภาพแสดงบนจอกลางอีกด้วย

 อัตราสิ้นเปลือง 20+ กม./ลิตร ง่าย ๆ

สำหรับอัตราสิ้นเปลืองนั้นทำดีดีเกินคาดเนื่องจากรุ่นพี่อย่าง MG VS HEV ที่มีแต่ความแรง กลับทำอัตราสิ้นเปลืองแบบน่าผิดหวังมาก่อน แต่ใน MG3 Hybrid+ กลับแก้เกมส์ได้ดี สามารถพัฒนาและทำให้ได้ตัวเลขประหยัดแบบ "น่าตกใจ" ทั้งที่ก่อนได้ขับนั้นไม่คาดหวังด้วยซ้ำไป!

 จากการขับลงจากเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ด้วยระยะทางราว ๆ 690 กม. สลับกันขับ 2 คนต่อ 1 คัน โดยน้ำมันเต็มถังนั้น ใช้ความเร็วปกติทั่วไปไม่ย่องไม่คลาน มีช่วงแรงแซง ออกตัวแรง ๆ ในบางจังหวะที่ปลอดภัย แต่ก้ขับด้วยความเร็วไม่เกินกำหนด ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองบนมาตรวัดสูงสุดได้ 21.7 กม./ลิตร   

แต่เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ในจุดที่เติมน้ำมันกลับคืนถังนั้น ตัวเลขบนมาตรวัดเฉลี่ยลดลงมาเล็กน้อยที่ 20 กม./ลิตร ซึ่งจากการขับขี่ด้วยระยะทางทั้งหมด 690 กม. ไฟเตือนน้ำมันเริ่มติดขึ้น ระยะทางคงเหลือในถังวิ่งได้อีก 72 กม. เมื่อทางทีมงาน MG เติมกลับเต็มถังจนตัดได้ 31.54 ลิตร ราคา 1,227 บาท เมื่อคำนวนแล้วได้อัตราสิ้นเปลืองตลอดทริปอยู่ที่ 21.9กม./ลิตร  นับว่าประหยัดจนน่าพอใจกับการให้สมรรถนะแรงเร้าใจระดับนี้เลยครับ

 สรุปความคุ้มค่า

 ALL NEW MG3 HYBRID+ รถยนต์สำหรับผู้เริ่มสร้างตัว First Jober หรือผู้ต้องการความประหยัดทั้งราคา การบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ใช้ในชีวิตประจำวันได้ทั้งครอบครัว ต้องบอกว่าขับดีกว่ารถระดับเดียวกับเจ้าตลาดและยังเป็นรุ่นเดียวในตอนนี้ที่ให้ความแรงจัดประหยัดตัวจริงแม้ว่าจะขับซิ่งก็ยังประหยัดน่าพอใจ นอกจากนี้ยังได้ความปลอดภัยและฟังก์ชั่นความสะดวกสบายครบครันเกินตัวอีกด้วย ......
ALL New MG3 Hybrid+
D ราคา 559,900 บาท
X ราคา 599,900 บาท

โดยรุ่น X เพิ่ม ADAS/Wireless Charger/ปัดน้ำฝนหน้าอัตโนมัติ/กล้องรอบคัน/ภายในทูโทน

5
วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ทำบุญขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชมสถาปัตยกรรมอันงดงาม

วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า วัดสุทัศน์ พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เพียงไม่กี่แห่งในกรุงเทพฯ และประเทศไทย ว่ากันว่าในทางสถาปัตยกรรม วัดแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดที่มีการออกแบบได้สัดส่วนงดงามที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ คนนิยมมากราบไหว้นมัสการพระพุทธรูปสำคัญในวัด นอกจากนี้ยังมีพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8 ตั้งอยู่ด้วย เพราะถือว่าเป็นวัดประจำรัชกาล วันนี้เราเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งนี้กันให้มากขึ้น


วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ไหน

          วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า วัดสุทัศน์ ตั้งอยู่เลขที่ 146 ริมถนนตีทอง 1 ถนนบำรุงเมือง แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร หน้าวัดหันออกมาทางถนนอุณากรรณ โดยทางฝั่งด้านถนนบำรุงเมืองจะตรงข้ามกับ เสาชิงช้า เทวสถานสัญลักษณ์สำคัญของกรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่น ๆ เพราะมีสัตตมหาสถานเป็นอุเทสิกเจดีย์ (ต้นไม้สำคัญในพุทธศาสนา 7 ชนิด) แทนที่

    Google Map : วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

ประวัติวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

          พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 วัดที่เป็นพระอารามหลวงชั้นสูงสุดของไทย ทั้งยังเป็นวัดประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี

          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนาวัดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางของพระนคร พระราชทานนามว่า วัดมหาสุทธาวาส มาจากชื่อสวรรค์ในพรหมโลก โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารหลวงขึ้นก่อน ความสูงเท่าวัดพนัญเชิงแห่งกรุงศรีอยุธยา และโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ คือ พระพุทธศรีศากยมุนี จากวัดมหาธาตุ กลางกรุงสุโขทัย (ขณะนั้นเป็นวัดร้าง) มาประดิษฐานไว้ในวิหารหลวง

          การก่อสร้างดำเนินมาจนถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 จึงแล้วเสร็จทั่วทั้งพระอาราม โดยมีการออกแบบวางผังวัดตามคติจักรวาล ในคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉัย พระวิหารหลวงเปรียบประดุจเขาพระสุเมรุ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดสุทัศนเทพธาราม อันมาจากชื่อ สุทัศนนคร เมืองของพระอินทร์ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บนยอดเขาพระสุเมรุ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงแปลงสร้อยนามเป็น วัดสุทัศนเทพวราราม

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 วัดสุทัศนเทพวรารามมีความสำคัญยิ่งในการปกครองคณะสงฆ์ ด้วยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 12 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) และต่อมายังเป็นที่ตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งแรกของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ซึ่งพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ได้รับการอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ผ้าทิพย์ที่ฐานพระพุทธศรีศากยมุนี ในพระวิหารหลวง

สิ่งน่าสนใจในวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

          พระอุโบสถ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นอาคารขนาดใหญ่ ก่ออิฐถือปูน กว้าง 22.60 เมตร ยาว 72.25 เมตร หน้ามุขกระสันกว้าง 14 เมตร ยาว 10.40 เมตร สร้างอยู่บนฐานไพทีชั้นที่ 2 มีเฉลียงรอบทั้ง 4 ด้าน วางตำแหน่งอยู่ในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ถือเป็นพระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ผนังด้านในของพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3 เรื่องราวเกี่ยวกับพุทธเจ้า รามเกียรติ์ และเรื่องสุทัศนนคร

          ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มยอดเจดีย์ มีลักษณะแปลกตาและงดงามมาก รอบ ๆ พระอุโบสถมีซุ้มเสมา 8 ซุ้ม ตั้งอยู่บนกำแพงแก้ว เป็นใบเสมาคู่ซึ่งทำจากหินอ่อนสีเทาสลักเป็นภาพช้าง 3 เศียร งวงชูดอกบัวตูมเศียรละ 1 ดอก เบื้องบนมีดอกบัวบาน 3 ดอก บนกำแพงแก้วด้านทิศเหนือและทิศใต้มีเกยอยู่ด้านละ 4 เกย ซึ่งใช้เป็นที่สำหรับประทับโปรยทานแก่ประชาชนในงานพระราชพิธี เรียกว่า "เกยโปรยทาน"

วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร

อีกทั้งยังมี จิตรกรรมที่บานประตูรูปครุฑยุดนาค บริเวณซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถ (บานประตูด้านนอก) ซึ่งเป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 รวมถึงมีตุ๊กตาศิลาจีนและเครื่องศิลาต่าง ๆ ตั้งอยู่รอบ ๆ ภายในวัดด้วย

วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร

พระวิหารหลวง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 เพื่อประดิษฐาน พระศรีศากยมุนี ที่อัญเชิญมาจากพระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย เป็นสถาปัตยกรรมไทยสมัยอยุธยาตอนต้น ขนาดกว้าง 23.84 เมตร ยาว 26.35 เมตร สร้างบนฐานไพทีชั้นที่ 2 ซึ่งก่ออิฐถือปูนมั่นคง ด้านหน้าและด้านหลังมีประตูเข้าสู่พระวิหารด้านละ 3 ประตู เป็นประตูสลักไม้ สร้างในรัชกาลที่ 2 กล่าวกันว่าบานประตูพระวิหารของวัดสุทัศน์ เป็นฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 2 (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) นอกจากนี้ยังปรากฏภาพวาดบนเสาด้านข้างขององค์พระศรีศากยมุนี เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์กำลังยืนพิจารณาสังขาร หรือที่เรียกกันว่า เปรตวัดสุทัศน์ ซึ่งวาดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3

วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร

         พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร หรือรัชกาลที่ 8 ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าของพระวิหารหลวง มีเรื่องเล่าว่า ครั้งที่พระองค์ทรงพระเยาว์และได้เสด็จฯ มายังวัดสุทัศน์ ได้ตรัสว่า เป็นวัดที่เงียบสงบ น่าอยู่ หลังเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 จึงได้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารมาบรรจุใต้ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนี ในพระวิหารหลวง ซึ่งในวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี จะมีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลวันคล้ายวันสวรรคต

สิ่งศักดิ์สิทธิ์วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

1. พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต)

ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารหลวง พระประธานของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ได้ชะลอมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 3 วา 1 คืบ สูง 4 วา มีพุทธลักษณะงดงาม ใต้ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์ของพระศรีศากยมุนีบรรจุพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 8 ส่วนด้านหลังมีแผ่นศิลาจำหลักสมัยทวารวดี สลักเรื่องพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่หาชมได้ยาก

คาถาบูชาพระศรีศากยมุนี

     นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

     มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง อะหัง วิชะโย โหมิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปาภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ


2. พระสุนทรีวาณี (ลอยองค์)

ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารหลวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หล่อด้วยสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตัก 18 นิ้ว ประทับนั่งบนดอกบัว ยกพระหัตถ์ขวาแสดงอาการกวัก เทพธิดาเปรียบเหมือนพระธรรม ดอกบัวเปรียบเหมือนพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า อาการกวักเปรียบเหมือนเชิญน้อมเข้ามาสู่ตน พระสุนทรีวาณี (ลอยองค์) ตั้งอยู่บนฐานหินอ่อน ที่ฐานจารึกคาถาพระสุนทรีวาณีเป็นอักษรขอม มีความเชื่อว่าผู้ใดได้สวดพระคาถาบูชาพระสุนทรีวาณี จะทำให้เกิดสติปัญญาหลักแหลม นำมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต

คาถาพระสุนทรีวาณี

     นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
     มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะสุนทะรี
     ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปีณะยะตัง มะนัง


3. พระพุทธตรีโลกเชษฐ์

ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ หน้าตักกว้าง 3 วา 17 นิ้ว สูง 4 วา 18 นิ้ว หล่อด้วยสัมฤทธิ์ปิดทอง รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดวงจักร กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ หล่อขึ้น ณ โรงหล่อในพระบรมมหาราชวัง อีกทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุหลวงจากพระบรมมหาราชวังมาประดิษฐานภายในองค์พระพุทธรูปด้วย ต่อมารัชกาลที่ 4 ทรงถวายพระนามว่า พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ พร้อมโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอสีติมหาสาวกจำนวน 80 องค์ นั่งพนมมือฟังพระบรมพุทโธวาทเบื้องพระพักตร์พระพุทธเจ้า


4. พระกริ่งใหญ่

ประดิษฐานที่มุขด้านหลังพระอุโบสถ หล่อด้วยสัมฤทธิ์ปิดทอง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2534 โดยคณะศิษยานุศิษย์ในเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร รูปที่ 7 มีวัตถุประสงค์จัดสร้างเพื่อถวายสักการบูชาพระคุณในวาระที่เจ้าประคุณมีอายุวัฒนมงคลครบ 5 รอบ 60 ปี ขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์ พระธรรมปิฎก จึงได้ถวายพระนามพระกริ่งใหญ่องค์นี้ว่า พระกริ่งธรรมปิฎก 60

คาถาบูชาพระกริ่งใหญ่

     นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
     กิง กัมมัง กุสะลัง ยันตัง สัมพุทธะปฏิมยิทัง
     ปูชะนัง มะมะ อัชเชวัง กุสะลัง เอวะ สาธุกํ
     พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง
     ติโลกะนาถะสัมพุทธัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง
     นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
     อิมินา ปูชะเนเนวัง โหตุ เม ชะยะมังคะลัง ฯ


5. ท้าวเวสสุวรรณ

พระเทวรูปท้าวเวสสุวรรณ หนึ่งในเทพศักดิ์สิทธิ์ในศาสตร์พยากรณ์เทวะมันตรา ประดิษฐานที่มุขด้านหลังพระอุโบสถ หล่อด้วยสัมฤทธิ์เคลือบสีเขียว ผู้คนนิยมไปไหว้ขอพรในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรือโชคลาภ

คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

     จุดธูป 9 ดอก และถวายดอกกุหลาบสีแดง 9 ดอก
     นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
     เวสวะวัณโณ มะเหสักโข ยักขะราชา มะหิธิโก
     ตังปูชะนาวะเสเนวะ โส มัง รักขะตุ สัพพะทา
     อันตะราโย จะ นัสสันตุ ปาปัคคะโห จุปัททะโว
     วัฑฒะตัง โข มะมัง ลาโภ สะทา โสตถี ภะวันตุเม ฯ

คาถาอัญเชิญท้าวเวสสุวรรณ

     โย อุภันเต วิทิตวานะ มัชเฌ มันตา นะ ลิมปะติ
     ตัง พรูมิ มะหาปุริโส โสธะ สิพพะ นิมัจจะคา ฯ

คาถาหัวใจท้าวเวสสุวรรณ

     เวสสะภุสสะ


6. พระพุทธเสรฏฐมุนี (หลวงพ่อกลักฝิ่น)

ประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ ณ ศาลาการเปรียญ ด้านหน้าพระอุโบสถ ในยุคปราบฝิ่น ปี พ.ศ. 2382 รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้นำกลักฝิ่นที่ทำจากทองแดง ทองเหลือง (กลัก คือ สิ่งที่ทําเป็นรูปคล้ายกระบอกสําหรับบรรจุสิ่งชิ้นเล็ก มีฝาสวมปาก) หล่อหลอมปิดทองเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้าง 1 วา 1 ศอก 1 คืบ ต่อมารัชกาลที่ 4 พระราชทานนามว่า พระพุทธเสฏฐมุนี แปลว่า พระผู้ประเสริฐสุด หรืออีกความหมายว่า ผู้ติดสิ่งเสพติดทั้งหลาย สามารถกลับใจเป็นคนดีได้เสมอ ย่อมสว่างรุ่งเรืองเหมือนพระพุทธรูปที่ทรงสร้าง อันจะเป็นพลังแข็งแกร่งชนะจิตใจให้เหินห่างสิ่งเสพติดได้ ถือเป็นพระกลักฝิ่นที่มีเพียงองค์เดียวในโลก ปัจจุบันมีผู้ศรัทธามาสักการะเป็นจำนวนมาก ด้วยมีความเชื่อว่าสามารถขอถอนคำอธิษฐาน คำสัญญา คำสาบาน และแก้กรรมได้

วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร

ของไหว้ หลวงพ่อกลักฝิ่น ดังนี้

     ดอกบัว 5 ดอก
     เทียนขาว (เล่มเล็ม) จำนวน 5 เล่ม
     ธูป 5 ดอก
     เงิน 5 บาท

     หมายเหตุ : หากไม่ได้นำมาทางวัดมีบริการให้

คาถาบูชาพระกลักฝิ่น

     นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
     อิมัง มิฉา อธิฐานัง ปันจะทะธาราปิ
     ทุติยัมปิ อิมัง มิฉา อธิฐานัง ปันจะทะธาราปิ
     ตะติยัมปิ อิมัง มิฉา อธิฐานัง ปันจะทะธาราปิ

          ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐาน ถอนคำสาปแช่ง คำบนบานที่ข้าพเจ้าได้ตั้งขึ้นพร้อมด้วยกิเลส ด้วยตัณหา ด้วยอุปาทาน ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ด้วยมานะ ด้วยมิจฉาทิฐิ เป็นไปเพื่อความพยายาม เพื่อเบียดเบียน สร้างเวรสร้างกรรม ไม่ประกอบด้วยธรรม ไม่ประกอบด้วยวินัย ไม่ประกอบด้วยกุศล ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ประกอบด้วยบารมี ที่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานไว้ สาปแช่งไว้ สัญญาไว้ ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี

          ลูกขออำนาจพระบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระรัตนตรัยและเทพพรหมทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 14 ชั้นบาดาล แม่พระธรณี ได้โปรดเป็นสักขีพยาน ในการที่ลูกขอถอนคำอธิษฐานเหล่านั้น ถอนคำแช่ง ถอนคำสาป ถอนคำสาบาน ถอนคำสัญญา ร้อยหน พันหน ณ กาลบัดนี้เทอญ

          จากนั้นตั้งจิตและกล่าวว่า นะถอน โมถอน พุทถอน ธาถอน ยะถอน นะคลอน โมคลอน พุทคลอน ธาคลอน ยะคลอน ถอนด้วย นะโมพุทธายะ นะมามิยัง

          ทั้งนี้ หากจะขอขมา แก้กรรม หรือถอนคำสาบาน ทางวัดจะมีบทสวดแบบละเอียดให้ด้วย


7. พระพุทธรังสีมุทราภัย หรือ หลวงพ่อเหลือ

ประดิษฐานอยู่ในศาลาสีลวัฑ ใกล้กับศาลาการเปรียญ เป็นพระพุทธรูปปางประทานอภัย รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้นำกลักฝิ่นที่เหลือจากการหล่อพระพุทธรูปมาซ่อมพระพุทธรูปองค์นี้ที่ชำรุดอยู่ ต่อมารัชกาลที่ 4 ถวายพระนามว่า พระพุทธรังสีมุทราภัย


8. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว)

ตำนานการสร้างพระกริ่งในไทย รูปหล่อประดิษฐานอยู่ในศาลาสีลวัฑ เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 12 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ในสมัยรัชกาลที่ 8 ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 6 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2487 สิริมพระชนมายุ 89 พรรษา


9. ต้นพระศรีมหาโพธิ์

ต้นแรกเป็นต้นที่ปลูกจากหน่อพระศรีมหาโพธิ์ อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ซึ่งคณะสมณทูตสยามอัญเชิญมาถวายรัชกาลที่ 2 ต้นที่ 2 ปลูกจากหน่อพระศรีมหาโพธิ์ที่อัญเชิญมาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย ใกล้ ๆ กันเป็นที่ตั้งของ สัตตมาสถาน การจำลองเหตุการณ์พระพุทธเจ้าทรงเสวยวิมุตติสุขหลังตรัสรู้ธรรมวิเศษในสถานที่สำคัญ 7 แห่ง แห่งละ 7 วัน เป็นเวลา 7 สัปดาห์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นวัดที่ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่น ๆ เพราะมีสัตตมหาสถานเป็นอุเทสิกเจดีย์ (เจดีย์ที่สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า) นั่นเอง


วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เปิดกี่โมง

          วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เปิดทุกวัน ผู้สนใจสามารถร่วมกิจกรรมทำวัตรได้ ดังนี้

    พระอุโบสถ เปิดเวลา 08.30-18.00 น. ทำวัตรเช้า 08.30 น. ทำวัตรเย็น 16.00 น.
    พระวิหารหลวง เปิดเวลา 08.30-20.00 น. ทำวัตรกลางวัน 12.00 น. (เสาร์-อาทิตย์ 13.00 น.) ทำวัตรค่ำ 18.30 น.
    ศาลาการเปรียญ เปิดเวลา 08.30-18.00 น.


วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร จอดรถ

สามารถจอดรถรอบพระอาราม ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. แต่ด้วยพื้นที่ที่มีจำกัดอาจจะหาที่จอดค่อนข้างยาก แนะนำว่าให้โดยสารขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ลงที่สถานีสามยอด ทางออกที่ 3 แล้วเดินต่อมาประมาณ 500-600 เมตร หรือรถประจำทาง จะสะดวกกว่า หรือใช้บริการสถานที่จอดรถบริเวณใกล้เคียง
         

สำหรับ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ถือเป็นอีกหนึ่งพระอารามหลวงที่มีความสำคัญยิ่ง ทั้งยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้สักการะขอพรมากมาย หากมีโอกาสก็อยากเชิญชวนไปเยือนสักครั้ง

6
motor expo 2024: เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จัดงาน Kia EV Playground

บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด เดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์และยนตรกรรมไฟฟ้าอย่าง The Kia EV5 รถเอสยูวีขนาดกลางไฟฟ้า 100% ที่ให้ความอเนกประสงค์เต็มรูปแบบรุ่นแรกในไทย และ The Kia EV9 รถเอสยูวี 6 ที่นั่งรุ่นแรกในประเทศไทย ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจัดงาน Kia EV Playground ด้วยการเนรมิตพื้นที่ 600 ตร.ม. ให้เป็น EV Playground สนามเด็กเล่นที่เกียชวนเด็กๆ มาเปิดประสบการณ์การเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องพลังงานสะอาด ผ่านเครื่องเล่นจำลองต่างๆ

 พร้อมเปิดให้ยลโฉมยนตรกรรม The Kia EV5 และ The Kia EV9 อย่างใกล้ชิด และทดลองขับ The Kia EV9 GT-Line AWD, The Kia Sorento Premium Plus PHEV, The Kia Carnival SXL 11 ที่นั่ง และ The Kia Carnival SXL Luxury 7 ที่นั่ง ได้ภายในงาน ที่ลาน Mega Plaza ศูนย์การค้าเมกาบางนา ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 โดยงาน Kia EV Playground นับเป็นการคิกออฟโรดโชว์ของบริษัทฯ อย่างเป็นทางการ พร้อมเตรียมจัดโรดโชว์ Kia eXperience Roadshow ให้ลูกค้าได้ยลโฉมยนตรกรรมอย่างใกล้ชิด อีก 4 แห่ง ทั่วกรุงเทพฯ ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2567

 นายฌ็อง–ดาวิด คริสติญอง อาเรล รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า “เป้าหมายสำคัญของเกีย เซลส์ (ประเทศไทย) คือ ก้าวสู่การเป็น ‘แบรนด์ที่มุ่งตอบโจทย์การเดินทางอย่างยั่งยืน’ (Sustainable Mobility Solutions Provider) โดยมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มอบประสบการณ์ขับขี่แบบไร้มลพิษ สำหรับในประเทศไทย บริษัทฯ ได้เริ่มจากการเปิดตัว The Kia EV9 ยนตรกรรมรุ่นเรือธงที่เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดของเรา และล่าสุดกับการเปิดตัว The Kia EV5 ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 45 ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคคนไทยเป็นอย่างมาก”

 “เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามเป้าหมายดังกล่าว ล่าสุดบริษัทฯ จึงได้จัดงาน Kia EV Playground ภายใต้คอนเซปต์ พลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุด คือพลังงานที่มาจากเด็กๆ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นครอบครัวคนรุ่นใหม่ เพื่อเชิญชวนให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกๆ มาได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับพลังงานสะอาด โดยเราเชื่อว่าพลังจากเด็กคือพลังที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งเปรียบได้กับโลกแห่งยนตรกรรมไฟฟ้าของเกียที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าบริสุทธิ์ 100% จึงเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความยั่งยืนให้กับโลกของเรา โดยภายในงานมีไฮไลต์ คือ EV Playground สนามเด็กเล่นที่เกียอยากให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างและการใช้พลังงานสะอาดในรถยนต์ไฟฟ้าจากสามเครื่องเล่น ได้แก่

 1. เกียสไลเดอร์ เด็กๆ จะได้สนุกไปกับการสไลด์บนโลโก้เกีย การเคลื่อนไหวบนสไลเดอร์นี้จะก่อให้เกิดพลังงาน

2. แท่นหมุน เด็กๆ สนุกกับการหมุนรอบแท่นหมุน การเคลื่อนไหวรอบแท่นหมุนจะก่อให้เกิดพลังงานได้เช่นกัน

3. ฐานกระโดด ที่เด็กๆ สามารถกระโดดจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง การกระโดดไปแต่ละจุดจะก่อให้เกิดพลังงาน โดยพลังงานจากการเคลื่อนไหวของเด็กๆ จะแสดงให้เห็นในรูปแบบของแสงสีต่างๆ ที่แสดงบนเครื่องเล่นแต่ละชิ้น เมื่อเด็กๆ เล่นและวิ่งไปยังสัญลักษณ์รูปแบตเตอรี่ พวกเขาจะได้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาสามารถนำมาใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้

ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายสำหรับเด็กๆ อาทิ เครื่องเล่น แทรมโพลีน มุมวาดภาพระบายสีเพื่อให้เด็กๆ ได้สร้างสรรค์ไอเดียงานศิลปะ และหากเด็กๆ เล่นกิจกรรมครบทุกสเตชันภายในงานจะได้รับขนมสายไหมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ The Kia EV9 อีกด้วย”

 และอีกหนึ่งไฮไลต์ภายในงานคือ การเปิดให้ยลโฉมยนตรกรรม The Kia EV5 และ The Kia EV9 อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทุกครอบครัวได้สัมผัสฟังก์ชันต่างๆ ของ The Kia EV5 และ The Kia EV9 ที่มาพร้อมดีไซน์ล้ำสมัยในสไตล์รถเอสยูวี เน้นการนำเสนอพื้นที่ในตัวรถกว้างขวางและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของครอบครัวยุคใหม่ โดย The Kia EV5 รถเอสยูวีขนาดกลางที่ให้ความอเนกประสงค์เต็มรูปแบบ โดดเด่นด้วยพื้นที่แถวสองที่กว้างขวางที่สุดในรถยนต์เซกเมนต์เดียวกัน เหมาะสำหรับครอบครัวยุคใหม่ (Millennial Family) ที่อาศัยในเมืองและกลุ่มคู่รักวัยมิลเลนเนียลที่กำลังมองหารถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีความคล่องตัว มอบความสะดวกสบายที่เหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นตู้แช่อเนกประสงค์ทั้งร้อนและเย็น (สำหรับรุ่น Earth Exclusive AWD) มาพร้อมฟังก์ชันปรับอุณหภูมิที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เตรียมเมนูให้คุณหนูๆ สำหรับทริปแคมป์ปิ้งได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งรถยนต์ The Kia EV5 ทุกรุ่นยังมาพร้อมแผงปิดสัมภาระอเนกประสงค์ ที่สามารถปรับเป็นโต๊ะทานข้าวสร้างบรรยากาศให้สมาชิกในครอบครัวได้ดื่มด่ำทานอาหารไปกับบรรยากาศ Outdoor นอกจากนี้ ยังมีออฟชันพิเศษกับโต๊ะอเนกประสงค์แบบพับได้สำหรับผู้โดยสารแถวสอง เพื่อนั่งทำงาน อ่านหนังสือ และทานอาหารได้ตามไลฟ์สไตล์ของคนในครอบครัว ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง

 The Kia EV9 รถยนต์เอสยูวีพรีเมียมขนาดใหญ่ 6 ที่นั่ง (เจ้าของรางวัลรถครอบครัวยอดเยี่ยมปี 2566 (Family Car of the Year) จาก นิตยสารยานยนต์ที่โด่งดังของโลกอย่าง Top Gear รวมถึงได้รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของโลกและรถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมของโลกปี 2567 จากงาน World Car Awards ปี 2567 ที่ให้ความสะดวกสบายเทียบเท่ารถยนต์ MPV (Multi-Purpose Vehicle) โดยรถยนต์รุ่นนี้เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ ที่มีการใช้งานแบบอเนกประสงค์ มีตัวเลือกการปรับที่นั่งได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมเบาะนั่งปรับหมุนได้ 180 องศา ใน The Kia EV9 Earth Long Range นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำเสนอฟังก์ชันนี้ในกลุ่มเอสยูวีขนาดใหญ่ในไทย เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวได้สร้างช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันตลอดการเดินทาง และหากผู้โดยสารต้องการความผ่อนคลายขณะเดินทางฟังก์ชันที่นั่งแบบเลานจ์มีที่พักเท้าแบบปรับด้วยไฟฟ้า มีระบบอุ่นและสามารถระบายอากาศได้ พร้อมฟังก์ชันการนวดแบบต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีระบบรองรับ Vehicle to Load (V2L) จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เช่น แล็ปท็อป สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต โปรเจกเตอร์ที่เนรมิตให้กลายเป็นโรงภาพยนตร์โรงเล็กๆ สำหรับคุณหนูๆ พร้อมจุด USB ชาร์จเจอร์ใช้งานได้หลายจุด หมดกังวลกับปัญหาการลืมอุปกรณ์ชาร์จไฟขณะเดินทาง

  “ด้วยฟังก์ชันและคุณสมบัติที่ครบครันเหล่านี้ นับเป็นจุดแข็งที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มครอบครัวได้เป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงมั่นใจว่า The Kia EV5 และ The Kia EV9 จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีในทุกๆ การเดินทางให้กับทุกครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบและเป็นหนึ่งในทางเลือกแห่งอนาคตของผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยภายในงานยังเปิดให้ผู้สนใจทดลองขับ The Kia EV9 GT-Line AWD, The Kia Sorento Premium Plus PHEV, The Kia Carnival SXL 11 ที่นั่ง และ The Kia Carnival SXL Luxury 7 ที่นั่ง ได้ที่ลาน Mega Plaza ศูนย์การค้าเมกาบางนา ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 และบริษัทฯ ได้เตรียมจัดกิจกรรมโรดโชว์ Kia eXperience Roadshow ให้ลูกค้าได้ยลโฉมยนตรกรรมเกียอย่างใกล้ชิดอีก 4 แห่ง ทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ เซ็นทรัลลาดพร้าว ในวันที่ 23-29 พฤษภาคม, เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ ในวันที่ 13-19 มิถุนายน, เซ็นทรัลเวสต์เกต ในวันที่ 26 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม และเซ็นทรัลพระรามสอง ในวันที่ 4-10 กรกฎาคม” นายฌ็อง–ดาวิด คริสติญอง อาเรล กล่าวทิ้งท้าย

7
อาหารสายยาง อาหารทางการแพทย์ คืออะไร

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “อาหารทางการแพทย์” แต่ก็ไม่รู้ว่าอาหารทางการแพทย์คืออะไร สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงอาหารทางการแพทย์ว่ามีลักษณะอย่างไรและใช้อย่างไร


สำหรับอาหารทางการแพทย์นั้น คืออาหารที่ใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อโรค เช่น อาหารสำเร็จรูปที่ให้ทางสายยางให้อาหารหรืออาหารปั่นผสม เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และสภาวะของโรคซึ่งการใช้อาหารทางการแพทย์จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ซึ่งจะมีหลายสูตรสูตร อาหารทางการแพทย์คืออาหารที่มีสูตรพิเศษ

สำหรับความเจ็บป่วยเฉพาะที่ อาหารทางการแพทย์สามารถช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ อาการเบาหวาน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร หรือผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง แต่อาหารทางการแพทย์นั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการรักษาโรคแต่ช่วยในการป้องกันปัญหาที่เกิดจากโรคหรือช่วยการจัดการเกี่ยวกับโรคได้ง่ายขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ซึ่งอาหารทางการแพทย์

สำหรับในภาวะที่ร่างกายของผู้ป่วยขาดพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นจากโรคหรือภาวะต่างๆสิ่งหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารตามความต้องการอย่างเหมาะสม นั่นก็คืออาหารทางการแพทย์นั้นเองเห็นไหมว่า อาหารทางการแพทย์มีความสำคัญและมีความจำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นที่จะต้องได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม เพื่อให้ฟื้นฟูจากอาการป่วยได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญต้องใช้อย่างระมัดระวังด้วย

นอกจากนี้ อาหารทางการแพทย์ ยังเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่ใช่ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ใช้เป็นโภชนาการบำบัดสำหรับผู้ป่วยเฉพาะโรค ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้เป็นปกติ หรือร่างกายอยู่ในภาวะที่ต้องการสารอาหารบางอย่างมากหรือน้อยเป็นพิเศษ โดยที่ไม่สามารถบริโภคจากอาหารทั่วไปได้

ในปัจจุบันอาหารทางการแพทย์มีหลากหลายชนิดทั้งสำหรับผู้ใหญ่และสำหรับทารก ซึ่งในแต่ละชนิดก็จะมุ่งเน้นในเรื่องของความต้องการของร่างกายอย่างจำเพาะเจาะจง ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของการใช้รับประทานหรือดื่มแทนอาหารหลัก ในบางครั้งอาจใช้เป็นอาหารทางสายยาง

สำหรับผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง สำหรับสารอาหารส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในอาหารทางการแพทย์นั้นหลักๆคือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมันซึ่งจะถูกดัดแปลงให้ย่อยง่ายหรือผ่านการย่อยแล้วบางส่วน เพื่อให้ดูดซึมได้ง่ายทำให้ร่างกายนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วหรือบางชนิดมีการเพิ่มหรือลดสารอาหารให้สอดคล้องกับความต้องการของร่างกายผู้ป่วย โดยอาหารทางการแพทย์ไม่ใช่ยา ไม่มีคุณสมบัติโดยตรงในการรักษาโรคต่างๆ

แต่ก็สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาหรือบรรเทาอาการของโรคได้และยังช่วยป้องกันภาวะขาดสารอาหารที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการรักษาด้วย อย่างไรก็ตาม ควรที่จะเลือกอาหารทางการแพทย์ให้ถูกต้อง เนื่องจากอาหารทางการแพทย์นั้น มีหลักหลายชนิดและร่างกายของแต่ละคนมีความต้องการสารอาหารที่ไม่เหมือนกัน อาหารทางการแพทย์แต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันจึงไม่ควรซื้ออาหารทางการแพทย์มาใช้เอง โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะร่างกายอาจได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุล

ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยและการดูดซึมไขมันได้ไม่ดี ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันย่อยง่ายกว่าเป็นส่วนผสม เพราะโรคบางโรคที่ต้องควบคุมร่างกายไม่ให้ได้รับสารอาหารบางอย่างมากเกินไป เช่น โรคไตที่ผู้ป่วยจะต้องจำกัดในปริมาณของแร่ธาตุหลายตัวเช่น โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส หาซื้อมารับประทานเองอาจทำให้เลือกผิดชนิดและอาจจะส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายได้

และที่สำคัญควรคำนึงถึงในเรื่องของปริมาณและความเข้มข้น เพราะฉะนั้นควรได้รับคำแนะนำเรื่องของการเตรียมและวิธีการชงอาหารทางการแพทย์ว่าควรมีปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละมื้ออย่างไร จากนักโภชนาการที่มีความเชี่ยวชาญหรือผู้ดูแลก่อนการปรับเปลี่ยนสู่ทุกครั้ง

นอกจากนี้ความเข้มข้นที่มากไปหรือน้อยไป ล้วนมีผลเสียต่อร่างกายถ้าหากส่วนผสมเจือจางมาก ร่างกายอาจได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหารได้ แต่ถ้าได้รับปริมาณที่เข้มข้นเกินไปร่างกายก็อาจจะรับไม่ได้เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสียหรืออาเจียน และอาจได้รับสารอาหารบางตัวมากเกินความจำเป็น

ทั้งนี้ เราสามารถเลือกรับประทานอาหารที่เราชอบได้หลากหลายและเหมาะสมกับตัวเราย่อมมีความสุขมากกว่าการที่ต้องรับประทานอาหารเพื่อชดเชยหรือบำบัดโรค เพราะฉะนั้นหากไม่อยากที่จะต้องรับประทานอาหารทางการแพทย์ก็ควรที่จะดูแลตัวเองให้แข็งแรงและมีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอ ถ้าอาหารปั่นผสมเอสเอ็นเราอยากสนับสนุนให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และควรดูแลร่างกายให้แข็งแรงมีสุขภาพดีรวมไปถึงอยากแนะนำให้ออกกำลังกายเพื่อทำให้มีร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขและเต็มที่

8
ดีท็อก ล้างพิษ ลดน้ำหนัก ดีต่อสุขภาพจริงหรือ ?

หลายคนอาจเคยได้ยินกระแสดีท็อกล้างพิษ (Detox) ซึ่งเชื่อกันว่าการดีท็อกสามารถช่วยขจัดสารพิษตกค้างในร่างกายและช่วยลดน้ำหนักได้ โดยวิธีการเริ่มต้นด้วยการอดอาหาร ตามด้วยการรับประทานผัก ผลไม้สด รวมทั้งดื่มน้ำผลไม้และน้ำเปล่า ทว่าวิธีการนี้จะได้ผลจริงหรือไม่ และจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร ควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนทดลองทำดีท็อกด้วยตนเอง

ดีท็อกเป็นอย่างไร ?

ดีท็อก เป็นกระบวนการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เพราะปกติแล้วร่างกายของเราจะได้รับสารเคมีที่เป็นพิษจากสิ่งแวดล้อมและอาหารต่าง ๆ ที่บริโภคเข้าไป เช่น สารมลพิษ สารสังเคราะห์ทางเคมี โลหะหนัก และสารเคมีชนิดต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งวิธีการดีท็อกมีหลายรูปแบบ แต่โดยทั่วไปแล้วมักเป็นการอดอาหารและควบคุมชนิดของอาหารที่รับประทาน โดยอาหารที่สามารถรับประทานได้ระหว่างการทำดีท็อก คือ ผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำสะอาด ชา สมุนไพร และอาหารเสริม รวมทั้งอาจต้องสวนทวารหนักเพื่อล้างลำไส้ด้วย

โดยคำกล่าวอ้างถึงประโยชน์ของการดีท็อก มีดังนี้

    อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้พักผ่อนจากการอดอาหาร
    กระตุ้นตับให้ขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย
    กระตุ้นให้ร่างกายขจัดสารพิษออกทางอุจจาระ ปัสสาวะ และเหงื่อ
    ช่วยส่งเสริมระบบการไหลเวียนของเลือด
    ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันต้านตนเอง โรคภูมิแพ้ โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง รวมทั้งผู้ที่มีอาการท้องอืดและมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนใดที่ชี้ว่าการดีท็อกจะมีประสิทธิผลต่อสุขภาพ ผู้ที่ต้องการทำดีท็อกจึงควรระมัดระวังหรือปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายของตน

ดีท็อก มีวิธีการอย่างไร ?

การดีท็อกนั้นมีหลายรูปแบบตามระดับความเข้มข้นและระยะเวลาในการทำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักประกอบไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย

    อดอาหารเป็นเวลา 1-3 วัน
    ดื่มน้ำสะอาด ชา และน้ำผักผลไม้สด
    เลือกดืื่มเครื่องดื่มชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น น้ำเกลือ หรือน้ำมะนาว เป็นต้น
    รับประทานอาหารเสริมหรือสมุนไพร
    งดรับประทานอาหารที่มีโลหะหนัก มีสิ่งปนเปื้อน หรือสารก่อภูมิแพ้
    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    ใช้ยาระบาย อาหารเสริมสำหรับล้างลำไส้ หรือใช้วิธีสวนอุจจาระ
    หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ทั้งหมด แล้วค่อย ๆ เริ่มรับประทานอาหารดังกล่าวอีกครั้ง
    งดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล แอลกอฮอล์ และกาแฟ
    เลิกสูบบุหรี่

ดีท็อก ดีจริงหรือ ?

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนประสิทธิภาพของการดีท็อกต่อการลดน้ำหนักหรือประโยชน์ต่อสุขภาพแต่อย่างใด แต่มีงานวิจัยหนึ่งที่พบว่า การลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารพร้อมกับการดีท็อกนั้นอาจให้ผลลัพธ์ที่ดี โดยนักวิจัยได้แบ่งหนูทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม โดยให้กลุ่มแรกได้รับอาหารที่มีไขมันต่ำและอีกกลุ่มได้รับอาหารที่มีไขมันสูงเป็นเวลา 10-12 สัปดาห์เท่ากัน หลังจากนั้นได้หยุดให้อาหารหนูทดลองทั้ง 2 กลุ่มเป็นเวลา 24 ชั่วโมง พบว่าหนูที่ได้รับอาหารไขมันต่ำมีน้ำหนักตัวลดลงถึง 18 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับหนูทดลองที่ได้รับอาหารไขมันสูงซึ่งมีน้ำหนักตัวลดลงเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทว่าข้อมูลจากงานวิจัยดังกล่าวเป็นเพียงการทดลองในสัตว์เท่านั้น จึงไม่อาจนำมาใช้ยืนยันว่าการดีท็อกนั้นจะช่วยลดน้ำหนักในคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องมีการศึกษาระยะยาวกับกลุ่มคนจำนวนมากต่อไป เพื่อยืนยันประสิทธิผลของดีท็อก ทั้งในแง่ของการช่วยลดน้ำหนัก การล้างสารพิษ รวมถึงความปลอดภัยของวิธีการนี้ด้วย

ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพทำดีท็อกได้หรือไม่ ?

การดีท็อกอาจส่งผลเสียและเป็นอันตรายต่อผู้ที่มีปัญหาสุขภาพได้ เพราะในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการดีท็อกส่งผลดีต่อสุขภาพด้านต่าง ๆ ได้ เช่น สุขภาพหัวใจ ความดันโลหิต และระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย เป็นต้น นอกจากนี้ การจำกัดชนิดของอาหารที่รับประทานอาจทำให้ผู้ที่รับประทานยารักษาโรคเบาหวานเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการดีท็อกด้วยการจำกัดประเภทของอาหารที่บริโภคอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่การดีท็อกด้วยการเน้นรับประทานอาหารที่ผ่านการแปรรูปน้อยหรืออาหารคลีนนั้นอาจส่งผลดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง รวมทั้งผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคหัวใจ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ มีโรคประจำตัว หรือภาวะเจ็บป่วยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจดีท็อก เพื่อวางแผนกำหนดอาหารที่ควรรับประทานและเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเอง

เคล็ดลับล้างพิษในร่างกายด้วยตนเอง

แนวทางปฏิบัติต่อไปนี้เป็นวิธีที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง และอาจช่วยกำจัดสิ่งตกค้างและสารพิษต่าง ๆ ในร่างกาย

    ดื่มน้ำให้มากขึ้นในปริมาณที่เหมาะสม
    รับประทานผักและผลไม้ 5-9 ส่วน/วัน โดยเฉพาะผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ต้นหอม หอมหัวใหญ่ ขมิ้น และกระเทียม
    รับประทานธัญพืชและถั่วเพิ่มมากขึ้น
    รับประทานอาหารหมักดองที่มีประโยชน์ เช่น โยเกิร์ต หรือกิมจิ เป็นต้น เพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษจากจุลินทรีย์
    รับประทานอาหารเสริมหากร่างกายขาดสารอาหารบางชนิดแล้วไม่สามารถทดแทนได้อย่างเพียงพอจากการรับประทานอาหารตามปกติ โดยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนบริโภคอาหารเสริมชนิดใดเสมอ


9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



10
all new mitsubishi triton 2024: New Mitsubishi Triton กระบะที่จะเปลี่ยนทุกความเชื่อเดิม (อีกครั้ง)

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้สาวกทรีไดมอนด์ กับ เซียนกระบะชาวไทย ร้องยี้กันทั่วหน้ากับดีไซน์กระจังหน้าที่ไม่สวยเอาเสียเลย จนอยากให้ Mitsubishi Motors (ประเทศไทย) สั่งเปลี่ยนด่วน

ล่าสุดทางต้นสังกัด มีความเคลื่อนไหว อีกครั้ง ด้วยการเตรียมเปิดตัว New Mitsubishi Triton MY2017 โดยคาดการณ์ว่าจะมีการปรับออฟชั่นใหม่ เสริมให้มีจุดแข็งและเรียกความสนใจให้สาวก โดยมีความเป็นไปได้ว่าจะปรับปรุงในส่วนของหน้าด้าน โดยเฉพาะกระจังหน้า ให้สวยงามขึ้นกว่าเก่า

แต่ยังคงโดดเด่นด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ MIVEC Clean Diesel 2.4 ลิตร กำลังแรงสูงถึง 181 แรงม้า และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมตอบสนองทุกการเดินทาง และวันที่ 5 ตุลาคมนี้ จะเป็นวันตัดสินว่า New Mitsubishi Triton MY2017 จะเปลี่ยนแปลงในทิศทางใด และราคาจำหน่ายจะปรับขึ้นหรือไม่ต้องติดตามกัน


ตามหลังพี่ไทย!! Mitsubishi Triton พร้อมเครื่องยนต์ใหม่ คาดจ่อคิว ที่มาเลเซีย

ล่าสุด เวปไซต์ Paultan มาเลเซีย เผยภาพโบร์ชัวร์ กระบะพันธุ์เท่ห์ ที่ได้จากชาวมาเลเซียรายหนึ่ง เป็นโบร์ชัวร์บรรยายถึง Triton รุ่นใหม่ ที่เปลี่ยนขุมพลังใหม่ นั่นเอง

สำหรับเครื่องยนต์ใหม่ ที่จะมาประจำการนั้น เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ MIVEC Clean Diesel 2.4 ลิตร รุ่น 4N15 ให้แรงม้าสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที มีให้เลือกทั้ง เกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์ออโต้ 5 สปีด คาดว่ามาแทนรุ่นเครื่องเก่ารุ่น 4D56 บล็อคเดิม ขนาด 2.5 ลิตร แรงม้าอยู่ที่ 178 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที  พร้อมเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา 5 สปีด

เป็นเพราะว่าสถานที่น้ำมันของมาเลเซีย ที่มีจำนวนมากขึ้นรวมถึงน้ำมันดีเซลที่ใช้ก็เป็นสูตรสำหรับ Euro 5 ด้านออฟชั่นจะคล้ายๆกับเวอร์ชั่นเมืองไทยเกือทุกด้านทั้งภายนอกและภายในไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ HID พร้อมไฟเดย์ไลท์ล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว กันชนหลังใหม่ ระบบกุญแจ KOS พวงมาลัยหุ้มหนังสามก้านพร้อมออดิโอสวิตช์ และ ระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติ หรือ Cruise Control ระบบแอร์แบบ Dual Zone แยกอุณหภูมิ ซ้ายขวา เครื่องเล่น DVD ขนาด 6.1 นิ้ว กล้องมองหลัง เป็นต้น

เบื่องต้นทาง Mitsubishi Motors Malaysia (MMM) เตรียมที่จะเผยตัวจริงในเร็วๆนี้ แต่จะเป็นช่วงเวลาใดนั้น ทางทีมงาน Autodeft จะมานำเสนอในครั้งต่อไป

11
จัดฟันบางนา: เครื่องมือที่จะได้รับระหว่างการจัดฟันแบบใส
 
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า เครื่องมือกรจัดฟันแบบใสนั้น สามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหารและขณะทำความสะอาดช่องปากและฟัน โดยการใช้ชุดของเครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ ซึ่งทำขึ้นเฉพาะสำหรับเฉพาะบุคคลเท่านั้น เครื่องมือจัดฟันเหล่านี้ทำจากพลาสติกใสที่แทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่ไว้บนฟันเพื่อให้ฟันได้ทำหน้าที่เคลื่อนฟันให้เข้าที่อย่างช้าๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่แทบจะไม่สังเกตเห็นว่าเรากำลังสวมใส่เครื่องือการจัดฟันอยู่ ซึ่งเป้นการเสริมสร้างบุคลิกภาพของผู้เข้ารับการจัดฟันเองด้วย ช่วยให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติในระหว่างการจัดฟัน ซึ่งวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ซึ่งหลายคนอาจจะมีข้อสงสัยว่า เครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น


เราจะต้องปรับเปลี่ยนกี่ครั้งและเมื่อเข้ารับการจัดฟันแบบใสแล้ว จะได้รับเครื่องมือกี่ชิ้นและมีอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ที่สนใจเข้ารับการจัดฟันได้เป็นแนวทางในการศึกษารายละเอียดและข้อมูลต่างๆ ก่อนอื่นเราจะพามารู้จักกับตัวเครื่องมือการจัดฟันแบบใส หรือที่เราเรียกว่า Invisalign ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดฟันที่ทำมาจากพลาสติกที่ผิวสัมผัสเรียบ พิเศษกว่าการจัดฟันแบบใส่เหล็ก มีความสะดวกสบายกว่า ไม่ทำให้เกิดความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในปาก สามารถถอดออกง่ายเวลารับประทานอาหารหรือแปรงฟัน และจุดเด่นของเครื่องมือการจดฟันแบบใสอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิตชุดของเครื่องมือจัดฟัน โดยแต่ละชุดจะค่อยๆจัดเรียงฟันของคุณให้เคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ทันตแพทย์จัดฟันได้กำหนดไว้ในแผนการรักษาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด
 
สำหรับเครื่องมือการจัดฟันแบบใสที่ผู้เข้ารับการจัดหันจะได้รับในระหว่างการรักษา ก็คือ Attachments ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ตุ่ม เล็กๆ สีใสหรือสีเดียวกับฟัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการช่วยเคลื่อนที่ของฟันไปบางจุด ทำหน้าที่เป็นตัวไกด์เพื่อให้ฟันเข้าไปอยู่ในเครื่องมือนั่นเอง ต่อมาคือยาง หรือที่เรียกว่า Elastics ก็คือยางที่ยืดระหว่างขากรรไกรหรือระหว่างซี่ในระนาบเดียวกัน เพราะฉะนั้น ยางดึงฟันจะไม่ใช่ยางมัดฟันหรือ O-Ring ที่ติดอยู่กับแบร็กเก็ตซี่ฟัน จะมีความต่างกันด้วยลักษณะที่ใหญ่กว่า ยืดได้มากกว่าโอริง

อาจจะจำเป็นในการช่วยเพิ่มการเคลื่อนที่และเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งก็คือ IPR ใช้เพื่อแต่งซอกฟัน ตะไบฟันเพื่อให้เกิดช่องว่าง ซึ่งไม่เกิน 0.5 มิลลิเมตรต่อซี่ และอยู่ในระดับที่ปลอดภัย และเมื่อเข้ารับการจัดฟันแบบใสเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องสวมใส่รีเทนเนอร์ เป็นเครื่องมือคงสภาพฟันหลังจัดฟันเสร็จ เหตุผลที่ต้องใส่รีเทนเนอร์ก็ เพื่อช่วยยึดฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการหลังจัดฟันเสร็จ เนื่องจากเหงือกและเนื้อเยื่อปริทันต์บริเวณที่ฟันเคลื่อนไปนั้นต้องการเวลาสำหรับการปรับตัวในตำแหน่งใหม่

ภายหลังจากจัดฟันเสร็จ ฟันอาจอยู่ในตำแหน่งที่ยังไม่คงที่ ดังนั้นแรงจากกล้ามเนื้อรอบๆช่องปากอาจมีผลให้ฟันเคลื่อนกลับ สำหรับระยะเวลาการสวมใส่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพความผิดปกติของฟันก่อนจัดฟัน โดยส่วนใหญ่จะต้องใส่รีเทนเนอร์ตลอดเวลา ยกเว้น เวลารับประทานอาหารและแปรงฟัน เป็นเวลา 3-4 เดือน จากนั้นให้ใส่เฉพาะเวลากลางคืนหรือเวลานอนอีกประมาณ 12 เดือน ทั้งนี้แพทย์จัดฟันจะเป็นผู้ประเมินสภาพฟันและอธิบายให้ทราบหลังจัดฟันเสร็จ ทั้งหมดนี้ก็คือเครื่องมือการจัดฟันที่ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องได้รับ

สำหรับใครที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์อย่างยาวนาน มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมครบวงจร จึงทำให้สามารถมั่นใจได้ว่า คุณจะมีฟันที่สวยงาม และมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ ทางคลินิก ของเรา ยังได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง Invisalign ให้สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล จึงทำให้มีความน่าเชื่อถือว่า เมื่อเข้ารับการจัดฟันที่คลินิกของเรา คุณจะมีความปลอดภัยและได้รับการรักษาที่มีมาตรฐานอย่างแน่นอน เพราะเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของทุกคน เพื่อที่จะได้มีฟันที่แข็งแรง สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  เพราะเราอยากให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

12
งานมอเตอร์เอ็กซ์โปร์ VinFast สบช่องกำลังซื้อคนชั้นกลางในอาเซียนยังแกร่ง เร่งขยายตลาดกับกลยุทธ์ Celebrity Marketing ประเดิมด้วยซูเปอร์สตาร์เกาหลี

สัดส่วนประชากรชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดยานยนต์ภายในปี 2573 คนชั้นกลางรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ความต้องการในด้านยานพาหนะของคนกลุ่มนี้จะมุ่งเน้นที่ความคล่องตัวในการใช้งานจริง เทคโนโลยี และความคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งวินฟาสต์ แบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากเวียดนาม

กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าจะมีจำนวนเติบโตอย่างมาก โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 จะมีสัดส่วนถึงสองในสามของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากระดับเพียง 29% ในปี 2553 ตามรายงานของ PwC ปี 2561 ชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตนี้กำลังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต ด้วยพฤติกรรมที่พร้อมจะจ่ายเพื่อคุณภาพ ความสะดวกสบาย และทางเลือกที่เหนือกว่า

รถยนต์เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญในภูมิทัศน์ของตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์มักใช้เป็นตัววัดสุขภาวะทางการเงินและกำลังซื้อของกลุ่มชนชั้นกลาง อย่างไรก็ตาม ประชากรกลุ่มนี้ไม่เพียงแค่มุ่งมั่นสร้างสถานะทางสังคม แต่ยังมีความตื่นตัวในด้านสิ่งแวดล้อมและหันมาสนใจตัวเลือกสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรถยนต์ไฟฟ้า การสำรวจของ Milieu ในปี 2564 ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสนใจใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก โดยมีสัดส่วนถึง 56% ในประเทศไทย 51% ในเวียดนาม และ 47% ในฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย


รถยนต์ในอุดมคติของกลุ่มชนชั้นกลาง
คุณลักษณะหลักสามอย่างที่กลุ่มผู้ซื้อรถยนต์ระดับกลางมองหาคือ ความคุ้มค่า ความปลอดภัย และฟังก์ชันการใช้งาน เมื่อพูดถึงความคุ้มค่า กลุ่มชนชั้นกลางจำนวนมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากกว่าคุณสมบัติของเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง จากรายงานของ Vero/WeBridge ในปี 2566 คนไทยจำนวน 27% และชาวฟิลิปปินส์จำนวน 33% ตอบว่าประสิทธิภาพในการใช้พลังงานเป็นแรงจูงใจหลักในการตัดสินใจซื้อรถยนต์

ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อพิจารณาถึงความผันผวนของราคาพลังงานในปัจจุบัน และผู้บริโภคจำนวนมากเหล่านี้เพิ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันแรก และตั้งใจใช้เป็นยานพาหนะสำหรับทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวัน และท่องเที่ยวกับครอบครัวในวันหยุด

ความปลอดภัยก็เป็นข้อพิจารณาสำคัญอีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีครอบครัว ผู้ซื้อกลุ่มนี้ต่างมองหารถยนต์ที่มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัยหลายใบ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ESC) และกล้องมองหลัง ผู้ซื้อหลายรายยินดีที่จะแลกฟีเจอร์สิ่งอำนวยความสะดวกที่หรูหรา เช่น เบาะหนังหรือซันรูฟ เพื่อให้ได้รถที่ปลอดภัยมากขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ซื้อรถยนต์ระดับกลางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังให้ความสำคัญกับฟังก์ชันการใช้งาน และความคล่องตัวอีกด้วย ความชอบส่วนบุคคลและความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของผู้บริโภค โดยเฉพาะในประเทศไทย (53%) อินโดนีเซีย (43%) และเวียดนาม (39%)

ผู้ซื้อรถกลุ่มนี้มองหายานพาหนะซึ่งสามารถรองรับความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งสมาชิกในครอบครัว วางสัมภาระเมื่อไปจับจ่ายของใช้ในบ้าน  หรือการเดินทางช่วงสุดสัปดาห์ ส่งผลให้เกิดความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์อเนกประสงค์ในอินโดนีเซีย และรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัดในประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางและให้ความยืดหยุ่นในการใช้งานได้หลากหลาย

นอกจากนั้น ผู้ซื้อรถกลุ่มนี้ยังสนใจรถยนต์ที่มีคุณสมบัติทางเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและเชื่อมต่อระบบการสื่อสารและทำงานทั้งหมดเข้าด้วยกัน ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น ระบบอินโฟเทนเมนต์หน้าจอสัมผัส การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ และระบบเตือนการออกนอกเลน
 
โอกาสสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ในภูมิภาค
ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ย่อมเข้าใจถึงความต้องการของผู้คนในภูมิภาคเดียวกัน ในอุตสาหกรรมยานยนต์ก็เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเพิ่งถือกำเนิด และกำลังเติบโตอย่างมากในภูมิภาคอาเซียน

“ประเทศเกิดใหม่และประเทศที่มีรายได้ปานกลางจำนวนมากไม่ต้องการเป็นเพียงตลาดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ต้องการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรืออย่างน้อยก็เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของโลก” เจมส์ กิลด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้า การเงิน และการพัฒนาเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขียนไว้ในบทความในนิตยสาร The Diplomat

แม้ยังขาดประสบการณ์อันยาวนานอย่างแบรนด์รถยนต์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก แต่ผู้ผลิตรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีข้อได้เปรียบจากความเข้าใจเชิงลึกในตลาดภูมิภาคและรู้ว่าจะมุ่งเน้นพัฒนาฟีเจอร์ และคุณลักษณะของรถยนต์อย่างไรให้โดนใจชนชั้นกลางในอาเซียนได้

วินฟาสต์ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่จากเวียดนามที่เพิ่งมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่น และ VF 5 เอสยูวีในเซกเมนต์ A ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นเริ่มต้นของแบรนด์ ก็สะท้อนให้เห็นว่าวินฟาสต์เข้าใจถึงความต้องการของตลาดรถยนต์ในอาเซียน

VF 5 ซึ่งกำลังเปิดตัวในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อรถชนชั้นกลางได้ในทุกด้าน ด้วยความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รถรุ่นนี้จึงมีค่าใช้จ่ายในการใช้งานที่ต่ำกว่ารถยนต์น้ำมันเบนซิน ในเวียดนาม รถรุ่นนี้คว้ารางวัลรถยนต์แห่งปีสองรางวัล ในประเภท "รถยนต์ที่ประหยัดที่สุด" และ "ดีที่สุดในกลุ่มที่มีราคาต่ำกว่า 500 ล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 19,600 ดอลลาร์สหรัฐ)"

 
VF 5 มีความยาว 3,967 มม. กว้าง 1,723 มม. สูง 1,578 มม. จึงมีขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง ภายในกว้างขวางด้วยเบาะ 5 ที่นั่ง พรั่งพร้อมฟีเจอร์สุดล้ำ ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอคอนโซลขนาด 8 นิ้ว ระบบระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) พื้นฐาน และคุณสมบัติด้านความปลอดภัย เช่น ถุงลมนิรภัย 4 ใบ ระบบเบรค ABS, ระบบช่วยกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD), ระบบช่วยเบรก, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC) และสัญญาณกันขโมย

วินฟาสต์ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการสัญจรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ โดยล่าสุด ได้แต่งตั้ง คิม ยูจอง นักแสดงสาวชื่อดังชาวเกาหลีใต้ เป็นแอมบาสซาเดอร์ของรถยนต์ VF 5

ความงามของ คิม ยูจอง ที่ผสมผสานเสน่ห์แบบกุลสตรีกับความเฉลียวฉลาดแบบสาวยุคใหม่ สะท้อนถึงคุณสมบัติของ VF 5 รถยนต์อเนกประสงค์คู่ใจที่ใช้ขับขี่ในชีวิตประจำวันบนถนนอันพลุกพล่านของกรุงเทพฯ ไปจนถึงบนถนนเลียบชายหาดอันเงียบสงบในภูเก็ต

วินฟาสต์ กำลังเตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าครบไลน์ทุกรุ่นในประเทศไทย ประเดิมด้วย VF 5 ซึ่งนำมาให้ชาวไทยได้สัมผัสกันได้อย่างใกล้ชิดกับเอกซ์คลูซีฟป็อปอัพในศูนย์การค้าชั้นนำทั่วประเทศ โดยเริ่มจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 9 - 14 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

13
บอร์ดโพสต์ฟรี ประกาศฟรี ทั่วไป / Doctor At Home: สมองพิการ (Cerebral Palsy)
« เมื่อ: วันที่ 22 พฤศจิกายน 2024, 15:04:19 น. »
Doctor At Home: สมองพิการ (Cerebral Palsy)

Cerebral Palsy หรือสมองพิการ เป็นโรคความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นกับทารกหรือเด็กเล็ก โดยเกิดขึ้นเมื่อสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเกิดความผิดปกติ ได้รับความเสียหาย หรือมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหวร่างกายไปตลอดชีวิต

อาการของ Cerebral Palsy

อาการของผู้ป่วย Cerebral Palsy อาจมีความรุนแรงมากหรือน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสมองที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งมีอาการที่สามารถพบได้ทั่วไป เช่น

    พัฒนาการล่าช้า เช่น อายุ 8 เดือนแต่ยังนั่งไม่ได้ อายุ 18 เดือนแต่ยังเดินไม่ได้ รวมถึงพัฒนาการทางการพูดช้ากว่าปกติ เป็นต้น
    ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น ความตึงตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติ กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้จนทำให้เสียการทรงตัว เคลื่อนไหวน้อย น้ำลายไหลมาก กลั้นปัสสาวะไม่ได้แม้ถึงวัยที่ควรทำได้ เป็นต้น
    อาจมีความบกพร่องทางสติปัญญาและการเรียนรู้
    ปัญหาทางการมองเห็นและการได้ยิน หรืออาจมีอาการตาเหล่ร่วมด้วย
    ปัญหาทางการสื่อสาร การพูดและการใช้ภาษา
    การรับรู้ความรู้สึกผิดปกติ อย่างความรู้สึกเจ็บ

ทั้งนี้ ตำแหน่งของสมองที่ได้รับความเสียหายจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการแตกต่างกันออกไป และสมองพิการอาจแบ่งเป็นหลายชนิด ดังนี้

    Cerebral Palsy ชนิดหดเกร็ง เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด หรือประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย Cerebral Palsy ทั้งหมด โดยกล้ามเนื้อจะแข็งเกร็งและมีปัญหาในการเดิน เช่น เดินแล้วขาหรือหัวเข่าไขว้กัน เป็นต้น และผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตได้ ซึ่งอาจส่งผลเพียงครึ่งซีกด้านซ้ายหรือขวา หรือมักส่งผลที่ขา 2 ข้างมากกว่าแขนทั้ง 2 ข้าง ใบหน้า หรือทั้งร่างกาย
    Cerebral Palsy ชนิดกระตุก ผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้อแข็งตึงหรืออ่อนแรงสลับกันไปมา ซึ่งอาจทำให้มีอาการชักหรือไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้
    Cerebral Palsy ชนิดเดินเซ เป็นชนิดที่พบได้น้อย โดยผู้ป่วยจะมีปัญหาในการทรงตัว สมดุลร่างกาย และการประสานงานของระบบต่าง ๆ รวมทั้งอาจมีอาการสั่นร่วมด้วย
    Cerebral Palsy ชนิดผสม ผู้ป่วยบางรายอาจมีสมองพิการมากกว่า 1 ชนิดเกิดขึ้นร่วมกัน

ส่วนผู้ป่วยเด็กที่เป็น Cerebral Palsy เมื่อเด็กโตขึ้นอาการต่าง ๆ มักจะไม่แย่ลงตามกาลเวลา แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยที่เหมาะสมและไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง ก็อาจทำให้อาการแย่ลงได้ ดังนั้น หากสงสัยหรือพบว่าลูกน้อยมีความผิดปกติทางการเคลื่อนไหว การรับรู้ การทำงานของกล้ามเนื้อ การทรงตัว การกลืน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการด้านอื่น ๆ ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา


สาเหตุของ Cerebral Palsy

โรค Cerebral Palsy เกิดขึ้นเมื่อเซเรบรัลคอร์เทกซ์ (Cerebral Cortex) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวได้รับความเสียหายหรือมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ มักเกิดขึ้นตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ แต่ก็อาจเกิดขึ้นในระหว่างคลอดหรือหลังคลอดได้เช่นกัน แม้ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนแต่ก็มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารกได้ เช่น

ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมองของทารกก่อนคลอด ได้แก่

    ปัญหาสุขภาพและการติดเชื้อของมารดาขณะตั้งครรภ์ เช่น โรคหัดเยอรมัน โรคอีสุกอีใส โรคเริม โรคซิฟิลิส การติดเชื้อไวรัสซิกา การติดเชื้อไวรัสไซโตเมกะโลโวรัส โรคท็อกโซพลาสโมซิส เป็นต้น
    ภาวะสมองผิดปกติในส่วนเนื้อเยื่อสมองสีขาวที่อาจเกิดจากทารกได้รับเลือดและออกซิเจนน้อยลง
    โรคหลอดเลือดสมองในทารก ซึ่งทำให้มีเลือดออกภายในสมองของทารก หรือทำให้ทารกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
    อุบัติเหตุที่ทำให้สมองของทารกได้รับการกระทบกระเทือนตั้งแต่อยู่ในครรภ์
    การกลายพันธุ์หรือความผิดปกติของพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมอง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมองของทารกระหว่างคลอดหรือหลังคลอด ได้แก่

    สมองขาดออกซิเจนชั่วคราว ซึ่งอาจเกิดจากการคลอดหรือการสำลักน้ำคร่ำ จนทำให้สมองของเด็กได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
    ปัญหาสุขภาพและการติดเชื้อของทารก เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้สมองอักเสบ ภาวะดีซ่านอย่างรุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษา เป็นต้น
    สมองของทารกได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่

    การคลอดก่อนกำหนด
    ทารกมีน้ำหนักตัวน้อย
    การตั้งครรภ์ทารกแฝด หรือมีทารกในครรภ์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
    มารดาตั้งครรภ์ขณะมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
    มารดาที่มีระดับความดันโลหิตสูงหรือต่ำมากผิดปกติขณะตั้งครรภ์
    หมู่เลือดอาร์เอชของมารดาและทารกไม่ตรงกัน
    การคลอดท่าก้น ซึ่งอาจทำให้คลอดยาก

การวินิจฉัย Cerebral Palsy

แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากการซักประวัติ ประเมินอาการ ตรวจร่างกาย ถามเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างคลอดหรือหลังคลอด และอาจวินิจฉัยด้วยวิธีการอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนี้

    การสแกนสมอง เพื่อตรวจและประเมินความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสมอง โดยอาจตรวจด้วยการสแกนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การอัลตราซาวด์ศีรษะ และหากผู้ป่วยมีอาการชัก แพทย์อาจตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองร่วมด้วย
    การตรวจเลือด เพื่อหาความผิดปกติทางพันธุกรรม กระบวนการทำงานของร่างกาย หรือตรวจหาโรคอื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกับโรคสมองพิการ
    การตรวจอื่น ๆ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ ตรวจความผิดปกติทางการมองเห็น การได้ยิน การพูด หรือการเคลื่อนไหว ตรวจความบกพร่องทางสติปัญญา รวมถึงพัฒนาการที่ล่าช้าด้านอื่น ๆ เป็นต้น

การรักษา Cerebral Palsy

สำหรับผู้ป่วย Cerebral Palsy หากยิ่งได้รับการรักษาเร็วก็จะยิ่งส่งผลดีต่อตัวผู้ป่วยมากขึ้นเท่านั้น แม้จะไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ แต่อาจช่วยปรับปรุงขีดความสามารถด้านต่าง ๆ ให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงความเป็นปกติมากที่สุด โดยจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากทีมแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

การบำบัดรักษา เช่น

    กายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ การทรงตัว การเคลื่อนไหว และป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อ
    กิจกรรมบำบัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายส่วนบน ปรับปรุงท่าทาง และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ เช่น การแต่งตัว การเข้าห้องน้ำ การไปโรงเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ กิจกรรมบำบัดยังช่วยให้ผู้ป่วยเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น เห็นคุณค่าในตัวเอง และสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตนเองในอนาคต
    นันทนาการบำบัด เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม กีฬา และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ได้ใช้ทักษะทางร่างกาย สติปัญญา และความสามารถของตนเอง ซึ่งผู้ปกครองหรือคนรอบข้างอาจสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งการพูด ความมั่นใจ และอารมณ์ของผู้ป่วยที่เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
    อรรถบำบัด เพื่อพัฒนาทักษะการพูดและการสื่อสารของผู้ป่วย โดยอาจใช้วิธีต่าง ๆ ประกอบการบำบัด เช่น ภาพ สัญลักษณ์ ภาษากาย หรือคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องสังเคราะห์เสียง เป็นต้น
    การปรับปรุงวิธีรับประทานอาหาร ด้วยการฝึกบริหารลิ้นและการกลืนอาหาร รวมทั้งอาจเปลี่ยนให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนหรืออาหารเหลว เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะขาดสารอาหารและการสำลักที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อที่ปอด
    การรักษาอาการน้ำลายไหล เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในผู้ป่วย Cerebral Palsy หากน้ำลายไหลมากจะทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังรอบปากและอาจเกิดการติดเชื้อขึ้นได้ ซึ่งอาจรักษาด้วยการบริหารกล้ามเนื้อปากและลิ้น หรือการใช้ยา เช่น ยากลุ่มแอนตี้มัสคารินิกหรือยาโบทูลินัมท็อกซิน เป็นต้น เพื่อลดการผลิตน้ำลาย รวมถึงอาจผ่าตัดต่อมน้ำลายเพื่อเปลี่ยนทิศทางให้น้ำลายไหลเข้าไปข้างในปาก


การรักษาโดยใช้ยา เช่น

    ยาคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย เช่น ยาไดอาซีแพม ยาบาโคลเฟน ยาไตรเฮกซีเฟนิดิล เป็นต้น
    ยาอื่น ๆ เพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ จากโรค Cerebral Palsy เช่น ยานอนหลับ ยากันชัก ยาระบาย ยาบรรเทาอาการปวด เป็นต้น

การผ่าตัด เช่น

    การผ่าตัดข้อและกระดูก เพื่อแก้ไขข้อและกระดูกของแขน ขา หรือสะโพกให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง รวมถึงช่วยยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่สั้นเกินไปจนทำให้กล้ามเนื้อหดรั้ง มักใช้รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้อแข็งเกร็งอย่างรุนแรง จนส่งผลให้เกิดปัญหาหรืออาการเจ็บปวดในขณะเดินหรือเคลื่อนไหวร่างกาย
    การตัดรากเส้นประสาท มักใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่เป็นผล โดยวิธีการนี้จะช่วยคลายกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวดบริเวณซี่โครง หรืออาจผ่าตัดแก้ไขปัญหากระเพาะปัสสาวะทำงานมากเกินไปด้วย แต่การผ่าตัดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น สูญเสียความรู้สึก มีอาการชา หรือรู้สึกอึดอัดบริเวณซี่โครงหลังรับการผ่าตัดรากเส้นประสาท เป็นต้น

การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น แว่นตา แว่นขยาย เครื่องช่วยฟัง อุปกรณ์ช่วยพยุง วีลแชร์ เป็นต้น รวมทั้งกายอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกยิ่งขึ้น


ภาวะแทรกซ้อนของ Cerebral Palsy

โรค Cerebral Palsy อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น

    การรับรู้ความรู้สึกผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยบกพร่องทางการสัมผัสและการรับรู้อาการเจ็บปวด
    ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องผูก ลำไส้อุดตัน เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความผิดปกติในการควบคุมระบบประสาทส่วนกลางที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ความพิการทางร่างกาย การทำงานของกระเพาะอาหารหรือลำไส้ หรือการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ
    ความผิดปกติทางการมองเห็น เช่น ตาเหล่ หรือตาบอดครึ่งซีก เป็นต้น และ 8-18 เปอร์เซ็นของผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่สมองพิการอาจมีปัญหาทางการได้ยินร่วมด้วย
    ความบกพร่องของช่องปาก อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น บกพร่องในการสื่อสาร มีน้ำลายไหลตลอดเวลา ขาดสารอาหาร หรือมีความผิดปกติของขากรรไกร เป็นต้น
    ความผิดปกติของกระดูก มวลกระดูกจะลดลงในผู้ป่วยที่ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดโรคกระดูกพรุน กระดูกหัก กระดูกสันหลังคด หรือมีอาการปวดได้
    ปัญหาทางจิต 2 ใน 3 ของผู้ที่สมองพิการจะบกพร่องทางสติปัญญา โดยอาจเป็นโรคประสาทหรือมีปัญหาทางจิตร่วมด้วย
    กลั้นปัสสาวะไม่ได้ เนื่องจากมีความบกพร่องด้านการควบคุมกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ


การป้องกัน Cerebral Palsy

โรค Cerebral Palsy ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม จึงไม่สามารถป้องกันได้ แต่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคและป้องกันโรคนี้จากบางสาเหตุได้ด้วยการปฏิบัติตามแนวทาง ดังต่อไปนี้

การป้องกันตั้งแต่ในครรภ์มารดา เช่น

    รับวัคซีนให้ครบ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันโรคหัดเยอรมันหรือโรคอีสุกอีใสที่อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่สมองของทารกในครรภ์
    ฝากครรภ์และไปพบแพทย์ตามกำหนด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ การติดเชื้อของทั้งมารดาและทารกในครรภ์ ภาวะทารกมีน้ำหนักตัวน้อย และการคลอดก่อนกำหนดที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์
    ดูแลสุขภาพขณะตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบต่อสมองของทารกในครรภ์ เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังเมื่อต้องสัมผัสกับสารเคมี เป็นต้น


การป้องกันในเด็ก เช่น

    ป้องกันการกระทบกระเทือนต่อสมอง เช่น ให้เด็กใช้คาร์ซีท สวมหมวกกันน็อก หรือคาดเข็มขัดนิรภัยในขณะเดินทางเสมอ เป็นต้น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อศีรษะของเด็กจนส่งผลให้สมองพิการ
    ดูแลสุขภาพเด็ก ปรึกษาแพทย์เพื่อปฏิบัติตามแนวทางป้องกันภาวะดีซ่านหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็ก และให้เด็กรับวัคซีนครบตามที่แพทย์กำหนด

14
ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์: รู้เขา รู้เรา…เข้าใจ "ดอกเบี้ย" ก่อน รีไฟแนนซ์บ้าน 2567

วัตถุประสงค์หลักของการ รีไฟแนนซ์บ้าน คือต้องการลดดอกเบี้ย ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้าน ก็ควรทำความเข้าใจว่า การรีไฟแนนซ์บ้านจะช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยได้อย่างไร และควรพิจารณาเปรียบเทียบธนาคารที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าธนาคารเดิม ซึ่งในตารางดอกเบี้ยสินเชื่อ รีไฟแนนซ์บ้าน ของธนาคาร จะมีข้อมูลตัวเลขหลายหลายรูปแบบ วันนี้เราจะพามาทำความเข้าใจกันค่ะ ว่าแต่ละแบบมีความหมายว่าอย่างไร และดอกเบี้ยแบบไหนเหมาะกับใคร

1. อัตราดอกเบี้ยคงที่  (Fixed Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ปรับตัวขึ้นหรือลดลง ถูกกำหนดให้คงที่ตลอดระยะเวลา เช่น 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี ทำให้ผู้กู้ทราบล่วงหน้าว่าต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราใด และสามารถวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น อัตราดอกเบี้ยคงที่ แบ่งได้ 3 รูปแบบ คือ
 
1.1 ดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่ผู้กู้ต้องชำระคืนเงินกู้ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา 10 ปี 20 ปี หรือมากกว่านั้น โดยผู้กู้จะสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าว่าต้องชำระเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยเท่าใดในแต่ละงวด ช่วยให้สามารถวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น

ข้อดีของดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา : มีความเสี่ยงต่ำ ผู้กู้ไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่จะเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด ทราบแน่นอนว่าแต่ละเดือนต้องจ่ายเท่าไร และต้องจ่ายนานแค่ไหน
 
ข้อเสียของดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา : หากธนาคารมีการลดอัตราดอกเบี้ย ผู้กู้จะไม่ได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเพราะดอกเบี้ยถูกกำหนดไว้คงที่แล้ว
 
ดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคง และไม่ต้องการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

1.2 ดอกเบี้ยคงที่ในช่วงแรก คือ อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกำหนดให้คงที่ในช่วงแรกของระยะเวลาการกู้เงิน เช่น 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี หลังจากนั้นจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ตามสภาวะตลาด หรือปรับตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เช่น MLR, MRR หรือ MOR
 

ข้อดีของดอกเบี้ยคงที่ในช่วงแรก : มักจะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา ทำให้ผู้กู้สามารถประหยัดเงินในช่วงแรกได้
 
ข้อเสียของดอกเบี้ยคงที่ในช่วงแรก : ผู้กู้อาจต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยในอนาคต และอาจต้องมีการปรับแผนการเงินใหม่เมื่อถึงช่วงที่ดอกเบี้ยลอยตัว

ดอกเบี้ยคงที่ในช่วงแรก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดดอกเบี้ยในช่วงต้น และเมื่อถึงช่วงที่ดอกเบี้ยปรับเป็นแบบลอยตัว ก็สามารถรีไฟแนนซ์เพื่อหาดอกเบี้ยที่ถูกลงจากธนาคารใหม่ได้

1.3 ดอกเบี้ยคงที่แบบขั้นบันได เป็นอัตราดอกเบี้ยกำหนดให้คงที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และจะมีการปรับขึ้นหรือลงเป็นขั้นๆ เช่น ดอกเบี้ยปีแรก 1.99% ปีที่สอง 2.50% ปีที่สาม 3.30% หรือปรับตามช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ทุก 1 ปี ทุก 3 ปี หรือทุก 5 ปี หลังจากนั้นจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว
 
ข้อดีของดอกเบี้ยคงที่แบบขั้นบันได : ผู้กู้สามารถคาดการณ์การชำระดอกเบี้ยในแต่ละช่วงเวลาได้ เนื่องจากดอกเบี้ยถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า
 
ข้อเสียของดอกเบี้ยคงที่แบบขั้นบันได : ผู้กู้ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับดอกเบี้ยที่จะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต
 
ดอกเบี้ยคงที่แบบขั้นบันได เหมาะสำหรับผู้กู้ที่ต้องการความยืดหยุ่น และสามารถปรับแผนการเงินให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้

2. อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับเปลี่ยนตามสภาวะตลาดหรืออัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เช่น MLR, MRR หรือ MOR ซึ่งอาจจะทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือลดลง และไม่ได้กำหนดระยะเวลาการปรับดอกเบี้ยที่แน่นอน
 

ตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย

2.1 ดอกเบี้ย MLR (Minimum Loan Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ส่วนใหญ่จะใช้คำนวณสำหรับเงินกู้ระยะยาวที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน
 
2.2 ดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ส่วนใหญ่จะใช้คำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยบ้าน และสินเชื่อส่วนบุคคล
 
2.3 ดอกเบี้ย MOR (Minimum Overdraft Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี มีประวัติการเงินดี โดใช้สำหรับสินเชื่อวงเงินเบิกเกินบัญชี (OD)
 
ข้อดีของอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว : อัตราดอกเบี้ยจะสามารถปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด ทำให้ผู้กู้สามารถรับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในกรณีที่สภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้การชำระหนี้มีภาระลดลงในบางช่วงเวลาได้
 
ข้อเสียของอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว : จากการที่อัตราดอกเบี้ยสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามสภาวะตลาด อาจทำให้ผู้กู้ไม่สามารถคาดการณ์ค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ได้แน่นอน อาจมีความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยอาจเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจทำให้การชำระหนี้มีภาระสูงขึ้นได้เช่นกัน
 
อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว มักจะไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ  จึงเหมาะกับการกู้ยืมระยะสั้น เช่น หากต้องการรีไฟแนนซ์ไปธนาคารใหม่ที่คิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่คำนวณแล้วอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยคงที่ หรืออัตราดอกเบี้ยแบบผสมจากธนาคารอื่น ผู้กู้ก็สามารถเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวได้ เพราะหากผ่อนชำระไปจนถึงระยะเวลาที่จะสามารถรีไฟแนนซ์ไปธนาคารใหม่ได้อีก แล้วปรากฎว่าอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ณ ขณะนั้นสูงขึ้นมาก ผู้กู้ก็สามารถรีไฟแนนซ์ไปธนาคารใหม่ได้อีกครั้ง

สรุปแล้ว การเลือกประเภทของดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน นอกจากจะเปรียบเทียบหาอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจากดอกเบี้ยสินเชื่อเดิมแล้ว ยังควรพิจารณาจากความเหมาะสมกับสถานการณ์การเงินและการวางแผนในอนาคตของผู้กู้ประกอบด้วยนะคะ

15
จัดฟันบางนา: หลายคนสงสัย ! ฝังรากฟันเทียมแล้ว ดื่มแอลกอฮอล์ได้หรือไม่ ?

การฝังรากฟันเทียม เป็นการทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องของการรักษา การวางแผน และการกำหนดตำแหน่งที่จะทำการฝังรากฟันเทียม รวมไปถึงการเอกซเรย์ดูความหนาแน่นของกระดูกขากรรไกรที่จะใช้รองรับรากฟันเทียม ซึ่งการดูแลรักษารากฟันเทียมหลังจากที่ทำการฝังไปแล้วกผ้ถือว่าง่ายมากเพียงแค่แปรงฟันอย่างถูกต้อง และดูแลรักษาสุขภาพช่องปากให้ดี เพียงเท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี รวมไปถึงยังสามารถยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมได้อีกด้วย ให้สามารถอยู่ได้นานถาวรไปจนตลอดชีวิตเลยทีเดียว

นอกจากนี้การใช้ชีวิตประจำวันของเรา ก็ส่งผลต่อรากฟันเทียมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหร รวมไปถึงการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อช่องปาก และยังมีอันตรายมากกว่าที่คิด วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าส่งผลอย่างไรต่อรากฟันเทียม และสุขภาพช่องปากโดยรวม ซึ่งผลเสียเหล่านี้หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลร้ายต่อสุขภาพช่องปากได้มากกว่าเราคิดเยอะมาก ซึ่งหลายคนอาจมีพฤติกรรมและการใช้ชีวิตประจำวันที่ชอบการสังสรรและมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่คิดว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพฟัน แต่หารู้ไม่ว่า แอลกอฮอล์คือศัตรูตัวร้ายที่ทำลายสุขภาพฟันอย่างมาก

หลายคนที่เคยเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก่อนและหลังจากการเข้ารับการฝังรากฟันเทียม ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาจะแนะนำให้งดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งก่อนการรักษาและหลังจากรักษา ที่อยู่ในช่วงของการพักฟื้น ซึ่งการดูแลตัวเองภายหลังจากการเข้ารับการฝังรากฟันเทียม ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะผลการรักษาจะเป็นไปในทิศทางใด ก็จะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังจากการเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม

ซึ่งการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้น ส่งผลโดยตรงต่อช่องปากอยู่แล้ว โดยเฉพาะบาดแผลที่ได้จากการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม จะทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อของรากฟันเทียมและบาดแผล ซึ่งผู้เข้ารับการรักษาจะต้องงดอย่างเด็ดขาด เพราะสารในบุหรี่จะทำลายรากฟันเทียม ทำให้แผลบวมแดง และแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่เครื่องดื่ม จะเป็นตัวทำลายบาดแผล ส่งผลให้บาดแผลหายช้า และอาจจะทำให้เลือดไหลไม่หยุดเลย ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนและปัญหาที่ยากจะแก้ไข อาจจะร้ายแรงไปถึงการทำให้เกิดการติดเชื้อ หนือรากฟันเทียมหลุดได้ และจะต้องเข้ารับฝังรากฟันเทียมใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

สำหรับอันตรายของเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้น นอกจากจะส่งผลต่อระบบต่างๆในร่างกายแล้ว ยังจะส่งผลเสียและเป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากและฟันอีกด้วย สิ่งแรกเลยคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งแน่นอนว่าน้ำตาลเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อช่องปากและฟัน ซึ่งจะทำให้เกิดฟันผุ เพราะมันทำให้แบคทีเรียในช่องปากเจริญเติบโตได้ดี ฉะนั้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ และดื่มในปริมาณที่มากๆ ทำให้มีโอกาสเป็นโรคฟันผุได้ง่าย

ข้อต่อมา คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลให้เกิดภาวะปากแห้ง เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเข้าไปลดกระบวนการผลิตน้ำลาย ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เพราะไม่มีอะไรมาชำระล้างออกไปจากช่องปากของเรา และผลกระทบของแอลกอฮอล์ข้อสุดท้ายคือ การทำให้เกิดคราบบนผิวฟัน ทำให้เกิดคราบสีบนฟัน โดยเฉพาะเครื่องดื่มชนิดไวน์ ที่มีสีแดงหรือสีเข้ม อาจจะส่งผลให้มีสีฟันที่เปลึ่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า คราบบนผิวฟันหรือสีฟันนั้น เป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข และจะสร้างความไม่มั่นใจให้คุณเวลายิ้ม หรือพูดคุยเข้าสังคมอีกด้วย เห็นไหมว่า โทษของแอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากและฟันยังไงบ้าง รวมไปถึงตัวรากฟันเทียมที่ทำการฝังลงไป อาจจะก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน หรืออาจจะทำให้รากฟันเทียมมีอายุการใช้งานที่สั้นลงได้

หน้า: [1] 2 3 ... 14