แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 28
1
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


2
ปล่อยรถผู้บริหาร BMW 320Li ปี 2023 ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

บีเอ็มดับเบิลยู BMW Series 3 320Li M Sport ปี 2023
BMW 320Li M Sport  ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ BMW TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้าที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,350 – 4,400 รอบต่อนาที โลดแล่นด้วยความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.9 วินาที มอบความเร็วสูงสุดที่ 233 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 20 พ.ค. - 31 พ.ค. 2568
Bsi ถึง 27/3/29
Warranty ถึง 27/3/29

ราคาพิเศษ 1,990,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

เครื่องยนต์                     เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุด 184 แรงม้าที่ 5,000 - 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,350 - 4,000 รอบต่อนาที

ขนาดเครื่องยนต์ (CC)       1,998 CC
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    184 แรงม้า
ระบบเกียร์                      เกียร์ออโต้ 8AT
รูปแบบเกียร์                    พร้อม Sport Steptronic
ระบบเบรค ABS               มี (พร้อมระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) และระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ)
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง       เบนซิน 95,เบนซิน 91,แก๊สโซฮอล์ 95 (E10),แก๊สโซฮอล์ 91
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        N/A
ระบบจ่ายน้ำมัน                Injection
น้ำหนักตัวรถ                     -
ประเภทยางรถยนต์              -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                 ล้ออัลลอย (ขนาด 18 นิ้ว ลาย V-spoke แบบสลับสี)
ระบบขับเคลื่อน                 ขับเคลื่อนล้อหลัง



3
doctor at home: หลอดลมพอง (Bronchiectasis)

หลอดลมพอง (โบราณเรียกว่า มองคร่อ) หมายถึง ภาวะที่หลอดลมบางส่วนเกิดการขยายตัว (โป่งพอง) กว้างขึ้นกว่าปกติอย่างถาวร ซึ่งเป็นผลมาจากผนังหลอดลมถูกทำลาย ทำให้มีการติดเชื้อบ่อย เกิดอาการไอมีเสมหะเรื้อรัง

ภาวะนี้อาจเกิดกับหลอดลมเพียง 1-2 แห่ง หรือหลายแห่งก็ได้ มักเกิดกับหลอดลมขนาดกลางเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งก็อาจเกิดกับหลอดลมขนาดเล็ก ซึ่งจะถูกทำลายกลายเป็นแผลเป็น ถ้าเกิดกับหลอดลมขนาดใหญ่มักสัมพันธ์กับโรคเชื้อราแอสเปอจิลลัสของทางเดินหายใจ (allergic bronchopulmonary aspergillosis)

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่พบมากในช่วงอายุ 20-40 ปี

บางรายอาจพบร่วมกับโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมปอดโป่งพอง หรือหืด

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อของทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส (เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด) แบคทีเรีย (เช่น ไอกรน เชื้อสูโดโมเนส เคล็บซิลลา สแตฟีโลค็อกคัส ไมโคพลาสมา) เชื้อรา (เช่น แอสเปอจิลลัส) รวมทั้งการติดเชื้อของปอด เช่น ปอดอักเสบ วัณโรคปอด ฝีปอด (lung abscess) เป็นต้น

บางครั้งการติดเชื้อดังกล่าว อาจมีสาเหตุชักนำ เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เอดส์ มะเร็ง) การอุดกั้นของหลอดลม (จากสิ่งแปลกปลอม เนื้องอกหรือมะเร็ง)

ส่วนน้อยเกิดจาการสูดแก๊สพิษหรือสารพิษ เช่น ควันบุหรี่ แอมโมเนีย คลอรีน ฝุ่นถ่านหิน หรือซิลิกา เข้าไปทำลายผนังหลอดลม

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากความผิดปกติของทางเดินหายใจโดยกำเนิด ซึ่งบางชนิดสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

สาเหตุเหล่านี้ทำให้ผนังหลอดลมถูกทำลาย รวมทั้งขนอ่อน (cilia) ที่เยื่อบุหลอดลมหลุดลอก สูญเสียกลไกในการขับสิ่งคัดหลั่ง (เสมหะ) เกิดการสะสมของเสมหะ ซึ่งมีเชื้อโรค ฝุ่น และสารระคายเคืองเจือปนอยู่ ส่งผลให้หลอดลมขยายตัว (โป่งพอง) บางครั้งกลายเป็นกระเปาะหรือถุงเล็ก ๆ (เป็นที่กักเชื้อโรค ส่งผลให้ติดเชื้อง่าย) ดังนั้น ผู้ป่วยที่เป็นหลอดลมพองจะเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นวงจรของ "การติดเชื้อ → การทำลายผนังหลอดลม → การสะสมเสมหะ (และเชื้อโรค) → การติดเชื้อ ..." กระบวนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มักจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งจะค่อยเป็นค่อยไปจนถึงขั้นแสดงอาการเมื่อมีอายุมากขึ้น
 

อาการ

ที่สำคัญ คือ ไอเรื้อรังทุกวัน ออกเป็นเสมหะสีเหลืองหรือเขียวจำนวนมาก และมีกลิ่นเหม็น บางครั้งอาจออกมากถึงวันละ 1 แก้ว อาการไอจะเป็นมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า และเวลาอยู่ในท่านอนตะแคง ลมหายใจมักมีกลิ่นเหม็น

ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย จะมีอาการไอออกเป็นเลือด (เนื่องจากผนังหลอดลมที่อักเสบมีการเพิ่มจำนวนหลอดเลือด ซึ่งมักจะเปราะและแตกง่าย) ลักษณะเป็นเลือดปนกับเสมหะ หรืออาจเป็นเลือดสดล้วน ๆ ก็ได้ มักออกเล็กน้อยและหยุดได้เอง ส่วนน้อยอาจมีเลือดออกจำนวนมาก บางรายอาจไม่มีอาการไอเรื้อรังมาก่อนอยู่ดี ๆ หรือหลังเป็นไข้หวัด ก็ไอออกเป็นเลือด

โดยทั่วไป ผู้ป่วยมักไม่มีไข้ เจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย หรือหอบเหนื่อยง่ายร่วมด้วย ยกเว้นเมื่อมีการติดเชื้อแทรกซ้อน ซึ่งอาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษา โรคจะค่อย ๆ ลุกลามจนเป็นรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการหอบเหนื่อยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาใช้แรงมากและน้ำหนักลด


ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบบ่อยคือ ปอดอักเสบ ซึ่งกำเริบได้บ่อย

อาจไอออกเป็นเลือดจำนวนมาก

อาจทำให้เกิดภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ได้แก่ ภาวะการหายใจล้มเหลว และภาวะหัวใจวาย ดังที่เรียกว่า โรคหัวใจเหตุจากปอด (cor pulmonale)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การตรวจร่างกายระยะแรกอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ในรายที่ไอมีเสมหะมาก ถ้านำเสมหะของผู้ป่วยใส่แก้วตั้งทิ้งไว้จะพบว่าแยกออกเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นหนองข้น ชั้นกลางเป็นของเหลวใส และชั้นบนสุดเป็นฟอง

การใช้เครื่องฟังตรวจปอด มักได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation) เสียงอึ๊ด (rhonchi) และ/หรือเสียงวี้ด (wheezing) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรวจบริเวณปอดส่วนล่าง

ในรายที่เป็นมาก อาจพบอาการนิ้วปุ้ม (clubbing of fingers)

บางรายอาจพบมีอาการของไซนัสอักเสบร่วมด้วย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ ตรวจเลือด บางครั้งอาจต้องใช้กล้องส่องตรวจหลอดลม (bronchoscopy) เพื่อค้นหาสาเหตุ (เช่น สิ่งแปลกปลอม เนื้องอก) ทำการทดสอบสมรรถภาพของปอด เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค รวมทั้งการตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ที่สงสัย เช่น เอดส์ วัณโรค เชื้อรา
 

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ในรายที่ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียวโดยสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี (ไม่มีอาการหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก และน้ำหนักลด) ให้การดูแลรักษาดังนี้

    ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน โคอะม็อกซิคลาฟ อีริโทรไมซิน ร็อกซิโทรไมซิน โคไตรม็อกซาโซล เป็นต้น) นาน 7-10 วัน
    ให้การรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ถ้ามีเสียงวี้ดให้ยากระตุ้นบีตา 2 สูดหรือกิน เป็นต้น
    แนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ (วันละ 8-12 แก้ว) ควรงดบุหรี่ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่ ฝุ่น ควันมลพิษในอากาศ
    ในรายที่มีเสมหะออกมาก หมั่นระบายออกในท่านอนระบายเสมหะ (postural drainage)โดยการนอนคว่ำพาดกับขอบเตียงและวางศีรษะบนพื้น โดยใช้มือหรือหมอนรอง ทำวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที

2. ถ้าไม่ดีขึ้น หรือไอออกเป็นเลือด หายใจหอบ เท้าบวม หรือกำเริบบ่อย แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ ให้การรักษาตามอาการ (เช่น ให้น้ำเกลือ ให้เลือดออกซิเจน ยาขยายหลอดลม) และแก้ไขโรคที่เป็นสาเหตุ และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ในรายที่ดื้อต่อยา หรือมีเลือดออกมาก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

ผลการรักษา ในรายที่เป็นระยะแรกไม่รุนแรง การได้รับการรักษาอย่างถูกต้องแต่เนิ่น ๆ มักจะได้ผลดี อย่างไรก็ตาม ผลการรักษายังขึ้นกับความรุนแรงของโรค สาเหตุ และภาวะแทรกซ้อน


การดูแลตนเอง

หากมีอาการไอเรื้อรังหรือไอเป็นเลือด ควรปรึกษาแพทย์

หากตรวจพบว่า เป็นหลอดลมพอง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ที่สำคัญคือ เลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด และหลีกเลี่ยงมลพิษในอากาศ ดื่มน้ำมาก ๆ (วันละ 8-12 แก้ว) เพื่อช่วยขับเสมหะ

2. ใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ โดยเรียนรู้วิธีใช้ยาที่ถูกต้อง และติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัดอย่างต่อเนื่อง

3. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    เจ็บหน้าอกมาก หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก
    ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอเป็นเลือด
    เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
    นอนราบไม่ได้ (เพราะรู้สึกหายใจลำบาก) หรือเท้าบวม
    ใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ  2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น   
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพื้นฐานตั้งแต่วัยเด็ก

2. เมื่อเป็นโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ ควรรับการรักษาอย่างถูกต้องแต่เนิ่น ๆ

3. ป้องกันการสำลักสิ่งแปลกปลอม

4. ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการสูดฝุ่นหรือสารพิษเข้าปอด


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างจริงจัง และเมื่อมีโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ

2. ผู้ป่วยควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค


4
motor show: Continental สานต่อกิจกรรม Continental CSR Skill Driving 2025 จับมือ Mercedes-Benz และ DEEPAL เปิดสอนหลักสูตรขับขี่ปลอดภัย

คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก และ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) ผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยียานยนต์และยางรถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี เดินหน้าส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน ผ่านกิจกรรม Continental CSR Skill Driving 2025 ขับขี่ปลอดภัย มั่นใจทุกสถานการณ์ ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยร่วมมือกับสองแบรนด์รถยนต์ชั้นนำระดับโลก เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) และ ดีพอล (DEEPAL) ถ่ายทอดความรู้ด้านความปลอดภัยและทักษะการขับขี่อย่างครบถ้วน ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของไทย ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์ จังหวัดปทุมธานี รายได้ทั้งหมดจากค่าสมัครโดยไม่หักค่าใช้จ่าย จะมอบให้แก่มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย เพื่อสนับสนุนงานวิจัยและการศึกษาในการพัฒนาคุณภาพความปลอดภัยบนท้องถนนของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
 
ต่อยอดความสำเร็จสู่ปีที่ 3 ยกระดับสังคมการขับขี่ปลอดภัยให้มั่นใจในทุกเส้นทาง

(ในภาพจากซ้ายไปขวา: มร. คาเรล คูเซรา (Mr. Karel Kucera) กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย), มร. ปีเตอร์ รางเคิล (Mr. Peter Rankl) ประธานฝ่ายบริหารภูมิภาคอาเซียน คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก และ ดร. ณรงค์ศักดิ์ รัตนสุวรรณชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด ภูมิภาคอาเซียน และผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย)
 
มร. ปีเตอร์ รางเคิล (Mr. Peter Rankl) ประธานฝ่ายบริหารภูมิภาคอาเซียน คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก กล่าวว่า “ในนามของคอนติเนนทอล เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อกิจกรรม Continental CSR Skill Driving 2025 เป็นปีที่ 3 เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการขับขี่ให้กับประชาชนไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อมั่นว่าทักษะและความเข้าใจที่ถูกต้องคือหัวใจของการขับขี่อย่างปลอดภัย สำหรับคอนติเนนทอล ความปลอดภัยถือเป็นคุณค่าหลักที่เรายึดถือมาตลอดระยะเวลากว่า 150 ปี ของการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์และยางรถยนต์ เราหวังว่ากิจกรรมนี้จะช่วยให้เกิดความตระหนักรู้ในวงกว้าง และมีส่วนสนับสนุนการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต”
 
ภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านการขับขี่ปลอดภัย ทั้งด้านทฤษฎีและการปฏิบัติจริง นำโดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการขับขี่แนวหน้าของประเทศไทย ได้แก่ นายวุฒินันท์ สภาวสุ, นายปริตร แม้นเมฆ, และนายสิรคุปต์ เมทนี ซึ่งหลักสูตรจะครอบคลุมตั้งแต่เรื่องทฤษฎีพื้นฐาน เช่น การปรับเบาะนั่งที่เหมาะสม วิธีการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง การเบรกในสถานการณ์คับขันต่าง ๆ ไปจนถึงระบบความปลอดภัยภายในรถ และความสำคัญของคุณภาพยาง จากนั้นผู้เข้าอบรมจะได้ปฏิบัติจริงโดยการขับรถยนต์ด้วยตนเอง โดยแบ่งออกเป็นการปฏิบัติตามฐาน ได้แก่ การเบรกกระทัน การหักหลบแบบต่อเนื่อง การควบคุมรถเสียหลัก และการหักหลบฉุกเฉิน นอกจากทักษะการขับขี่แล้ว การมีความรู้ความเข้าใจเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัยภายในรถ และการใช้ยางที่มีมาตรฐานก็สำคัญมากเช่นกัน
 
มร. คาเรล คูเซรา (Mr. Karel Kucera) กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ทางยางคอนติเนนทอล เราไม่ได้เพียงพัฒนายางรถยนต์ระดับพรีเมียมที่มีความโดดเด่นด้านสมรรถนะ และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูงเท่านั้น แต่เรายังเล็งเห็นถึงการส่งเสริมองค์ความรู้และสร้างความตระหนักในเรื่องทักษะการขับขี่ที่ถูกต้องให้กับประชาชน โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งยังมีสถิติอุบัติเหตุทางถนนอยู่ในระดับสูง เราเชื่อว่ากิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสนับสนุนให้ผู้ขับขี่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทของยาง และการควบคุมรถอย่างปลอดภัย เพื่อจะนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในระยะยาว”


 ในการอบรมการขับขี่ปลอดภัยครั้งนี้ คอนติเนนทอลยังได้รับความร่วมมือจากสองพันธมิตรแบรนด์รถยนต์ชั้นนำระดับโลกอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) และ ดีพอล (DEEPAL) ในการสนับสนุนรถยนต์จำนวนกว่า 9 คัน ครอบคลุมประเภทรถที่หลากหลาย ได้แก่ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+, Mercedes-Benz CLS 220 d AMG Premium และ DEEPAL S05 ทั้งรุ่น BEV และรุ่น REEV (Range-Extended Electric Vehicle) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้สัมผัสถึงสมรรถนะของยาง และได้รับประสบการณ์จากการขับขี่และการควบคุมรถที่ครอบคลุม
 
ส่งมอบเงินบริจาคสมทบทุนให้มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย เพื่อส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาความปลอดภัยบนท้องถนน

คอนติเนนทอลนำรายได้จากการจัดกิจกรรมนี้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการวิจัยด้านถนนปลอดภัย การศึกษาด้านการลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ และการนำเข้าสู่การบังคับใช้กฎหมายที่เป็นผลกระทบที่ดีในวงกว้าง ซึ่งปีนี้ได้ส่งมอบเงินจำนวนทั้งสิ้น 105,300 บาท โดยได้รับเกียรติจาก คุณถนอมศรี วาสนะตระกูล หัวหน้าฝ่ายบริหาร ประจำศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน เป็นผู้รับมอบ
 
“คอนติเนนทอลตั้งใจให้กิจกรรมในครั้งนี้เป็นมากกว่าการฝึกอบรม เรารู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัยให้แก่ประชาชนไทย เพื่อให้สามารถนำความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากการเข้าร่วมกิจกรรมไปปรับใช้ในชีวิตจริง พร้อมร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเราเชื่อว่าการสร้างความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องคือรากฐานของการลดอุบัติเหตุ และเป็นก้าวสำคัญในการร่วมกันยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างยั่งยืน” ดร. ณรงค์ศักดิ์ รัตนสุวรรณชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด ภูมิภาคอาเซียน และผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย กล่าวปิดท้าย

5
จัดฟันบางนา: แก้ไขปัญหาต่างๆไม่ยาก ในขณะจัดฟัน

เชื่อว่าหลายๆท่านที่ได้ทำการจัดฟัน จะทราบดีถึงปัญหาต่างๆมากมานที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างจัดฟัน แต่ไม่ทราบถึงวิธีในการรับมือและแก้ปัญหาต่างๆเฉพาะหน้า

ซึ่งต้องขอบอกก่อนเลยว่า การรักษาด้วยการจัดฟันนั้นถือว่ามีข้อดีมากมาย แต่ก็ใช่ว่าในขณะจัดฟันจะไม่มีปัญหาให้กวนใจเลยก็ไม่ใช่

ในวันนี้เลยจะขอเป็นส่วนร่วมเพื่อให้ข้อมูลท่านผู้อ่านถึงหลักและวิธีปฏิบัติหากว่าพบเจอปัญหาต่างๆในขณะจัดฟันง่ายๆ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ปัญหาที่มักเกิดขึ้นได้ในขณะจัดฟัน ?

– พูดไม่ชัด น้ำลายหก

ถือว่าเป็นปัญหาที่พบกันบ่อย ในช่วงแรกที่ใส่อุปกรณ์จัดฟัน ผู้ป่วยจะมีอาการพูดไม่ชัด และน้ำลายไหลโดยที่ไม่รู้ตัว เนื่องจากว่ายังไม่เคยชินกับอุปกรณ์จัดฟัน รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆก็มีผลในการขัดขวางการพูด ทำเกิดการออกเสียงที่ไม่ชัด แต่ไม่ต้องตกใจเพราะอาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปหลังจากการปรับตัวของร่างกาย ซึ่งระยะเวลาในการปรับตัวของแต่ละคนนั้นจะไม่เท่ากัน แต่โดยปกติจะใช้เวลาในการปรับตัวประมาณ 2-4 สัปดาห์ ดังนั้นผู้ป่วยที่ทำการจัดฟันใหม่ๆไม่ต้องกังวลใจ ให้พยายามจิบน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ปากแห้ง ช่วยลดการเสียดสีและแผลในช่องปาก จะทำให้การปรับตัวง่ายขึ้น

– มีกลิ่นปาก

ปัญหากลิ่นปากส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่มีเศษอาหารเข้าไปติดตามซอกฟัน หรือในช่องปาก ยิ่งถ้าใส่อุปกรณ์จัดฟันใหม่ๆ ยิ่งจะทำให้เศษอาหารเข้าไปตกค้างได้ง่ายขึ้นกว่าปกติ รวมถึงทำความสะอาดได้ยากมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเมื่อได้ทำการใส่อุปกรณ์จัดฟันมาแล้ว ต้องพยายามดูแลรักษาความสะอาดช่องปากให้มากกว่าปกติ พยายามแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร 1 ชั่วโมง และแปรงฟันตื่นนอนกับก่อนนอนตามปกติ ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ไหมขัดฟันที่ออกแบบมาสำหรับคนจัดฟันอีกด้วย นอกจากแปรงฟันเสร็จแล้วให้แปรงลิ้นทุกครั้ง เพราะ ลิ้นเป็นแหล่งสะสมจุลินทรีย์ที่มากที่สุด เพียงเท่านี้ก็สามารถลดเรื่องกลิ่นปากได้แล้วบางส่วน

– กลืนอุปกรณ์จัดฟัน ทำอย่างไร

ในบางครั้งอุปกรณ์จัดฟันก็อาจจะหลุดออก เช่น ยางจัดฟัน แบร็คเก็ต ซึ่งมีหลายท่านเคยพลาดกลืนอุปกรณ์เหล่านี้เข้าไป แต่ขอบอกเลยว่าอย่างเป็นกังวลใจไป เนื่องจากว่าวัสดุที่ใช้ในการทำอุปกรณ์จัดฟันนั้นสร้างจากวัสดุที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งหากว่าผู้ป่วยกลืนอุปกรณ์เข้าไปร่างกายจะกำจัดออกมาด้วยการขับถ่ายตามปกติ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเป็นไปได้ก็ไม่ควรกลืนเข้าไป โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำอยู่เสมอว่า พยายามอย่ารับประทานอาหารที่มีความแข็ง เพราะ จะทำให้อุปกรณ์จัดฟันหลุดได้ง่าย และจะมีผลต่อการรักษาได้

– เหล็กจัดฟันหลุดทำอย่างไร

มีหลายๆท่านประสบปัญหาเหล็กจัดฟันหลุดแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ขอแนะนำเบื้องต้นว่า หากสามารถไปพบทันตแพทย์ได้ก็แนะนำให้ไปเพื่อทำการแก้ไขไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด เพราะการที่เหล็กจัดฟันหลุดบ่อยๆมีผลกับการรักษาโดยตรง และบางทีอาจจะทำให้เกิดบาดแผลจากการถูกอุปกรณ์จัดฟันทิ่มได้อีกด้วย ทางที่ดีที่สุดควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีความเสี่ยง เช่น อาหารที่มีความแข็ง ถั่ว ผลไม้ดิบ เป็นต้น และไม่ควรแปรงฟันแรงเกินไป

– ลวดทิ่มแก้มและเหงือก

การที่ลวดทิ่มแก้มหรือเหงือกนั้นเกิดจากการที่ลวดยื่นออกมา ซึ่งหากว่ายื่นออกมาไม่มากนักให้ทำการใช้ขี้ผึ้งที่ทันตแพทย์ให้ไว้ปั้นเป็นก้อนๆและแปะทับตรงส่วนที่ยื่นออกมา แต่ถ้าหากว่าลวดยื่นออกมามาก ให้ทำการไปพบทันแพทย์เพื่อทำการแก้ไขโดยด่วน

– สามารถจัดฟันบนหรือล่างอย่างเดียวได้ไหม

ในกรณีต้องการจัดฟันเพื่อแก้ไขฟันที่ผิดปกติเพียงไม่กี่ซี่ จะสามารถทำการจัดฟันแค่ด้านบน หรือด้านล่างอย่างเดียวได้ แต่ตามปกติแล้วจะแนะนำให้จัดทั้งบนและล่างเพื่อให้การสบฟันดีขึ้น จะส่งผลให้ระบบการบดเคี้ยวอาหารดีขึ้น ลดปัญหาฟันสึก ประสาทฟันอักเสบ รวมไปถึงสามารถช่วยลดโอกาสเสี่ยงเกี่ยวกับกระดูกข้อต่อขากรรไกรอีกด้วย

6
คอนโดติดรถไฟฟ้า นิว ดิสทริค อาร์ 9 พระราม 9 (Nue District R9 Rama 9)
เริ่มต้น 3.68 ลบ.

นิว ดิสทริค อาร์ 9 พระราม 9 (Nue District R9 Rama 9)
คอนโดห้องหน้ากว้าง เฟอร์ครบ* แห่งเดียวในย่าน 180 ม. ถึงเซ็นทรัล พระรามเก้า และ MRT พระราม9 และสิ่งอำนวยความสะดวกแบบจัดเต็ม

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               นิว ดิสทริค อาร์ 9 พระราม 9 (Nue District R9 Rama 9)
 เจ้าของโครงการ         โนเบิลดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย               นิว ดิสทริค
 ราคา                      เริ่มต้น 3.68 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล             คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด          High Rise (9 ชั้นขึ้นไป)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี        1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี          ตั้งแต่ 26.00 ถึง 46.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด          6 ไร่ 90 ตร.ว.
 จำนวนตึก              1 อาคาร 2 ทาวเวอร์
 จำนวนชั้น               33 ชั้น และ 41 ชั้น
 จำนวนห้อง             1,441 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด       40% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
 ค่าบำรุงส่วนกลาง     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค         สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, อื่นๆ (Mellow Co-kitchen, Photography Studio, Recording Studio, Kids Club, Art Hub, Urban Yoga & Pilates, Golf Simulator, Harmony Park), สวนหย่อม, Sky Lounge, Co-Working Space, ห้องประชุม

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน            รัชดา, ห้วยขวาง, พระราม 9, เพชรบุรี
 ที่ตั้ง           ถนนพระรามเก้า แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:           ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สถานีบางซื่อ - หัวลำโพง(พระราม 9)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Central Plaza พระราม 9
Fortune Town พระราม 9
Esplanade รัชดาภิเษก
Big C รัชดาภิเษก
The Street รัชดาภิเษก
Home Pro รัชดาภิเษก
Tops market Belle Grand Rama 9
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รัชดา
โรงเรียนอำนวยพิทยา
โรงเรียนอนุบาลโชคชัย
โรงเรียนอนุบาลลีนา
โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเพรพ
โรงพยาบาลพระราม 9
โรงพยาบาลปิยะเวท
โรงพยาบาลกรุงเทพ
โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

7
วัตถุประสงค์การใช้งานผ้ากันไฟ

ผ้ากันไฟ (Fire Resistant Fabric) มีวัตถุประสงค์หลักคือ การป้องกันและจำกัดผลกระทบจากอัคคีภัย โดยถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อความร้อนสูง, เปลวไฟ, และประกายไฟในระดับที่แตกต่างกันไปตามประเภทและคุณสมบัติ เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิต, ทรัพย์สิน, และการดำเนินงาน นี่คือวัตถุประสงค์หลักของการใช้งานผ้ากันไฟ:

1. ป้องกันการลุกลามของไฟและจำกัดความเสียหาย (Fire Containment & Damage Limitation)
สร้างแนวป้องกันไฟ (Fire Barrier): ใช้เป็นฉากกั้นหรือม่านเพื่อสร้างแนวป้องกันชั่วคราวระหว่างแหล่งกำเนิดประกายไฟหรือเปลวไฟ กับวัตถุไวไฟที่อยู่ใกล้เคียง ช่วยชะลอหรือหยุดการลุกลามของไฟ
ป้องกันการจุดติดไฟ (Ignition Prevention): ในพื้นที่ที่มีกิจกรรมที่ก่อให้เกิดประกายไฟ เช่น งานเชื่อม, งานเจียร, งานตัดโลหะ ผ้ากันไฟจะถูกนำมาคลุมหรือกั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สะเก็ดไฟหรือลูกไฟที่ร้อนจัดไปตกใส่วัสดุที่ติดไฟง่าย เช่น เศษผ้า, ไม้, กระดาษ, หรือสารเคมี
จำกัดความเสียหายของทรัพย์สิน: ปกป้องเครื่องจักร, อุปกรณ์, โครงสร้างอาคาร, วัตถุดิบ, หรือสินค้าสำเร็จรูปจากความร้อนสูงและเปลวไฟโดยตรง


2. ดับเพลิงเบื้องต้นและควบคุมสถานการณ์ (Initial Fire Suppression & Control)
ตัดออกซิเจน (Oxygen Deprivation): ผ้าห่มกันไฟ (Fire Blanket) ถูกใช้เพื่อคลุมแหล่งกำเนิดไฟขนาดเล็ก (โดยเฉพาะไฟจากน้ำมันหรือไขมัน) เพื่อตัดการไหลเวียนของออกซิเจน ทำให้ไฟดับลงอย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยไม่ใช้น้ำหรือสารเคมี
ควบคุมไฟขนาดเล็ก: สำหรับไฟที่ยังไม่ลุกลามมาก สามารถใช้ผ้ากันไฟช่วยควบคุมหรือจำกัดขอบเขตของไฟไม่ให้ขยายวงกว้างขึ้นได้ชั่วคราว ก่อนที่ระบบดับเพลิงหลักจะทำงานหรือหน่วยกู้ภัยจะมาถึง


3. ปกป้องบุคลากร (Personnel Protection)
ป้องกันการบาดเจ็บจากความร้อน/เปลวไฟ:
ใช้สำหรับ ห่อหุ้มตัวพนักงาน ที่เสื้อผ้าติดไฟ เพื่อดับไฟที่เสื้อผ้าได้อย่างรวดเร็ว
ใช้คลุมตัวพนักงานเพื่อ ป้องกันความร้อนและเปลวไฟ ขณะต้องอพยพผ่านพื้นที่เสี่ยง
ใช้เป็นม่านหรือฉากกั้น เพื่อลดการแผ่รังสีความร้อนจากเครื่องจักรหรือกระบวนการที่มีอุณหภูมิสูง สู่พื้นที่ปฏิบัติงานของพนักงาน
ลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ: ป้องกันการสัมผัสโดยตรงกับพื้นผิวร้อน หรือลดการสูดดมควัน/ก๊าซพิษที่เกิดจากการไหม้ของวัสดุที่ติดไฟง่าย


4. เป็นฉนวนกันความร้อน (Thermal Insulation)
แม้จะไม่ใช่จุดประสงค์หลักในการดับเพลิง แต่ผ้ากันไฟบางชนิด (โดยเฉพาะประเภทใยซิลิกาหรือใยเซรามิก) ก็มีคุณสมบัติเป็น ฉนวนกันความร้อนที่ดี
ใช้สำหรับหุ้มท่อส่งลมร้อน, ท่อไอน้ำ, หรืออุปกรณ์ที่มีอุณหภูมิสูง เพื่อลดการสูญเสียพลังงานความร้อน และปกป้องพนักงานจากการสัมผัสโดยตรง


5. ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย (Legal Compliance & Safety Standards)
การติดตั้งผ้ากันไฟในบางพื้นที่ของโรงงาน ถือเป็นส่วนหนึ่งของการ ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย และมาตรฐานความปลอดภัยด้านอัคคีภัยที่กำหนดโดยหน่วยงานราชการหรือมาตรฐานอุตสาหกรรม (เช่น กฎกระทรวงแรงงาน, NFPA) เพื่อให้โรงงานดำเนินงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย


โดยสรุปแล้ว ผ้ากันไฟมีบทบาทสำคัญในการเป็น แนวป้องกันแรก และ อุปกรณ์ดับเพลิงเบื้องต้น ที่ช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบจากอัคคีภัย เพิ่มความปลอดภัยให้กับบุคลากรและทรัพย์สิน รวมถึงสนับสนุนให้โรงงานสามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

8
หมอประจำบ้าน: มะเร็งลูกตาในเด็ก (Retinoblastoma)

มะเร็งลูกตาในเด็ก หมายถึงมะเร็งของเนื้อเยื่อจอตา (retina) เป็นมะเร็งที่พบได้น้อย พบได้ประมาณร้อยละ 2 ของมะเร็งที่พบในเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี)

มักพบก่อนอายุ 4 ปี อาจพบในผู้ใหญ่ได้ แต่น้อยมาก

ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้างเดียว ประมาณร้อยละ 20-30 เป็นพร้อมกัน 2 ข้าง


สาเหตุ

เกิดจากความผิดปกติของยีนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญของตาในช่วงที่เป็นทารกในครรภ์มารดา ทำให้เซลล์ประสาทของจอตาเจริญผิดปกติกลายเป็นเนื้องอกชนิดร้าย ซึ่งลุกลามไปยังส่วนอื่นของตาและอวัยวะนอกเบ้าตาได้

ประมาณ 1/3 ของเด็กที่เป็นโรคนี้เกิดจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ หากมีพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ซึ่งเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ บุตรที่เกิดมามีโอกาสรับกรรมพันธุ์ของโรคนี้ถึงร้อยละ 50 ซึ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งลูกตาได้ถึงร้อยละ 90 ในกรณีนี้เด็กมักจะเป็นมะเร็งที่ลูกตาทั้ง 2 ข้าง และสามารถถ่ายทอดให้ลูกหลานต่อไปได้

ประมาณ 2/3 ของเด็กที่เป็นโรคนี้เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนของเด็กตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์ โดยที่พ่อและแม่ไม่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ในกรณีนี้เด็กมักจะเป็นมะเร็งที่ลูกตาเพียงข้างเดียว และไม่ถ่ายทอดให้ลูกหลานต่อไป


อาการ

ที่สำคัญพ่อแม่จะสังเกตว่าเมื่อใช้ไฟ (หรือไฟแฟลชถ่ายภาพ) ส่องตรงตาดำของเด็ก จะเห็นเป็นสีขาววาวคล้ายตาแมว

เด็กอาจมีอาการตามัวหรือมองไม่เห็น และอาจมีอาการตาเหล่ ตาแดง เปลือกตาบวม

เมื่อเป็นมากขึ้นตาจะเริ่มปูดโปนออกมานอกเบ้าตา


ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษา เด็กมักจะตาบอด และอายุสั้น

มะเร็งลูกตาอาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของดวงตา และออกนอกเบ้าตา

ในกรณีที่เป็นเพียงข้างเดียวอาจลุกลามไปที่ตาอีกข้างได้

มะเร็งอาจแพร่ไปตามเส้นประสาทตาเข้าไปในสมอง รวมทั้งอาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น กระดูก ปอด เป็นต้น

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยที่เกิดจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดอื่นในเวลาต่อมา เช่น มะเร็งต่อมไพเนียล (pineoblastoma) มะเร็งกระดูก (osteosarcoma) มะเร็งกล้ามเนื้อ (sarcoma) มะเร็งผิวหนัง (melanoma) เป็นต้น จึงควรให้แพทย์คอยเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการใช้เครื่องมือตรวจจอตา ทำการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

บางรายแพทย์อาจเจาะหลังนำน้ำไขสันหลังไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง หรือทำการตรวจไขกระดูกว่ามีมะเร็งแพร่กระจายไปที่ไขกระดูกหรือยัง


การรักษาโดยแพทย์

การรักษาขึ้นกับขนาดและตำแหน่งของมะเร็ง การแพรก่ระจายของมะเร็ง และสภาพร่างกายของผู้ป่วย

แพทย์จะให้เคมีบำบัดในรายที่เป็นระยะแรกเริ่ม เพื่อให้ก้อนมะเร็งฝ่อเล็กลง แล้วใช้วิธีอื่นรักษาต่อ เช่น รังสีบำบัด (radiation therapy) การบำบัดด้วยความเย็น (cryotherapy) การบำบัดด้วยความร้อน (thermotherapy) หรือเลเซอร์ (laser therapy) ซึ่งช่วยให้ไม่ต้องผ่าตัดเอาลูกตาออก

ในรายที่มะเร็งมีการแพร่กระจายออกนอกเบ้าตา แพทย์จะให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดและรังสีบำบัด

ในรายที่โรคเป็นมากจนไม่อาจรักษาด้วยวิธีอื่น แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาลูกตาออก และใส่ดวงตาเทียมเข้าไปแทนที่ในเบ้าตา (เพื่อความสวยงามแต่ใช้การไม่ได้)

ผลการรักษา หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม มีโอกาสหายขาดได้ถึงร้อยละ 90 แต่บางรายหลังการรักษาจนโรคหายแล้ว อาจเกิดมะเร็งชนิดนี้กำเริบได้ใหม่ หรือเด็กที่เป็นมะเร็งลูกตา 2 ข้างหรือเกิดจากการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ อาจเกิดมะเร็งชนิดอื่นตามมาในภายหลัง แพทย์จำเป็นต้องติดตามดูอาการเป็นระยะ

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น สังเกตเห็นตาดำของเด็กมีสีขาววาวคล้ายตาแมว (เห็นชัดเมื่อใช้ไฟส่อง) เด็กมีอาการตามัว มองเห็นไม่ชัด ตาเหล่ ตาแดง หรือตาโปน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลูกตาในเด็ก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการตามัว ตาแดง ปวดตามาก ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง หายใจหอบ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือหน้าตาซีดเซียว
    สงสัยมีมะเร็งลูกตากำเริบใหม่
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากยังไม่ทราบปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ และส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์


ข้อแนะนำ

1. เด็กที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งชนิดนี้ ควรให้แพทย์ตรวจดูตาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่หลังคลอด

2. ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองสังเกตเห็นตาของเด็กมีความผิดปกติ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ และดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ หากจำเป็นต้องผ่าตัดเอาลูกตาออก พ่อแม่ควรสอบถามแพทย์ให้เกิดความเข้าใจและยอมรับ ไม่ควรปฏิเสธการรักษาโดยวิธีนี้ ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับอันตรายและอายุสั้นได้

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

9
อาชีพเสริม การขายอาหารออนไลน์ คำแนะนำสำหรับการตลาดออนไลน์ที่ต้องการสำรวจอาชีพที่ทำกำไรได้นี้

ธุรกิจขายอาหารออนไลน์เติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเติบโตของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและเครื่องมือทางการตลาดดิจิทัล สำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจอาชีพที่ทำกำไรได้นี้ การขายของกินออนไลน์เป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตลาดออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าและการสร้างยอดขาย

นี่คือภาพรวมของวิธีเริ่มต้นและทำการตลาดธุรกิจอาหารออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ

เหตุใดจึงควรเริ่มธุรกิจอาหารออนไลน์?
เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นและมองหาความสะดวกสบาย ธุรกิจอาหารออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นอาหารทำเอง ของว่าง หรือการสร้างสรรค์อาหารที่ไม่เหมือนใคร ธุรกิจอาหารสามารถหาช่องทางในตลาดออนไลน์ที่กว้างใหญ่ได้ นอกจากนี้ การระบาดของ COVID-19 ยังเร่งให้การจับจ่ายซื้อของออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้น และบริการจัดส่งอาหารจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ต้องการสำหรับหลายๆ คน


ขั้นตอนในการเริ่มขายอาหารออนไลน์

ค้นคว้าเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ: ระบุรายการอาหารที่คุณต้องการขาย อาจเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่เบเกอรี่ อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารแปลกใหม่ หรือแม้แต่ขนมขบเคี้ยวบรรจุหีบห่อ สิ่งสำคัญคือการค้นหากลุ่มเป้าหมายที่ดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ

ข้อควรพิจารณาทางกฎหมาย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของอาหารในท้องถิ่น ใบอนุญาต และใบรับรองด้านสุขภาพที่จำเป็นสำหรับการขายอาหารออนไลน์ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณดำเนินการอย่างถูกกฎหมายและปกป้องลูกค้าของคุณ

สร้างการปรากฏตัวออนไลน์ที่น่าดึงดูด: สร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายหรือเข้าร่วมแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เชี่ยวชาญด้านบริการจัดส่งอาหาร ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมนู ราคา และข้อมูลการติดต่อของคุณชัดเจน รูปภาพและคำอธิบายรายการอาหารที่มีคุณภาพสูงจะช่วยดึงดูดลูกค้า

ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย: แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram, Facebook และ TikTok เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจอาหาร ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของคุณด้วยรูปภาพ วิดีโอ และเนื้อหาที่น่าสนใจ พิจารณาใช้ผู้มีอิทธิพลทางการตลาดหรือจัดโปรโมชันเพื่อดึงดูดความสนใจ

กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลสำหรับธุรกิจอาหารออนไลน์
SEO (Search Engine Optimization):
เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าเป้าหมายจะค้นหาคุณได้ ให้ใช้เทคนิค SEO เพื่อให้เว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ของคุณปรากฏในผลการค้นหา ใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารและที่ตั้งของคุณ เช่น “ขนมขบเคี้ยวออร์แกนิกใน [เมือง]” หรือ “เค้กโฮมเมดที่ดีที่สุดทางออนไลน์”

การตลาดผ่านอีเมล: สร้างรายชื่อลูกค้าทางอีเมลและส่งการอัปเดตเป็นประจำเกี่ยวกับรายการเมนูใหม่ โปรโมชั่น และส่วนลด อีเมลส่วนบุคคลสามารถสร้างความรู้สึกภักดีและกระตุ้นให้ซื้อซ้ำได้

โฆษณาแบบชำระเงิน: แพลตฟอร์มเช่น Google Ads และ Facebook Ads ช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายกลุ่มประชากรเฉพาะตามความสนใจ ตำแหน่งที่ตั้ง และพฤติกรรม การลงโฆษณาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขยายการเข้าถึงและดึงดูดผู้เข้าชมมายังร้านค้าออนไลน์ของคุณมากขึ้น

การตลาดแบบเนื้อหา: สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ เช่น บล็อก วิดีโอ หรือไอเดียสูตรอาหารที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่คุณนำเสนอ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างความน่าเชื่อถือในกลุ่มเป้าหมายของคุณเท่านั้น แต่ยังดึงดูดลูกค้าด้วยวิธีที่มีความหมายอีกด้วย

การมีส่วนร่วมและการวิจารณ์ของลูกค้า
บทวิจารณ์ของลูกค้ามีความสำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจอาหาร กระตุ้นให้ลูกค้าของคุณแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาชื่นชอบอาหารของคุณ บทวิจารณ์เชิงบวกสามารถสร้างความไว้วางใจกับลูกค้ารายใหม่และเพิ่มยอดขายได้ การตอบกลับบทวิจารณ์ทั้งเชิงบวกและเชิงลบแสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจต่อความพึงพอใจของลูกค้า

การเริ่มต้นธุรกิจขายอาหารออนไลน์อาจเป็นทางเลือกอาชีพที่คุ้มค่า ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และการบริการลูกค้า ธุรกิจอาหารออนไลน์ของคุณก็สามารถเติบโตในตลาดดิจิทัลได้ สิ่งสำคัญคือต้องมีความสม่ำเสมอ คอยอัปเดตเทรนด์การตลาดดิจิทัล และปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

10
บริการด้านอาหาร: น้ำพริกมะขามป้อม เมนูสุขภาพต้านหวัด บรรเทาอาการไอ
 
พฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนเรานั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีสุขภาพที่ดีได้ แต่ในขณะเดียวกัน พฤติกรรมที่ผิดๆของการรับประทานอาหาร ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ เห็นมั้ยว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหารของเรานั้น มีความสำคัญมาก เพราะเป็นตัวชี้วัดถึงสุขภาพร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การรับประทานอาหารที่ถูกต้องนั้น คือการรับประทานอาหารให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย

ซึ่งอาหารหลัก 5 หมู่ คือกลุ่มสารอาหารสำคัญที่ควรได้รับในแต่ละวัน ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเป็นหลัก ส่วนวิตามิน แร่ธาตุ ไขมัน รวมถึงสารอาหารอื่น ๆ นั้น แม้จะต้องการในปริมาณไม่มาก แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะต่างมีส่วนช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและแข็งแรง การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารหลากหลายและครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ในสัดส่วนอันเหมาะสม จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญของการคงไว้ซึ่งสุขภาพที่ดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบัน คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขาภพมากขึ้น จะสังเกตได้ว่า คนเริ่มเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น ด้วยสถานการณ์ในขณะที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดหรืออากาศที่แปรปรวนทุกวัน ทำให้หลายคนเสี่ยงที่จะเป็นไข้หวัดได้ง่าย ซึ่งวันนี้จะมาแนะนำเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ที่สามารถช่วยต้านหวัดแถมยังช่วยบรรเทาอาการไอด้วย นั่นก็คือ เมนูน้ำพริกมะขามป้อม ถือว่าเป็นเมนูพื้นบ้านและได้ประโยชน์เยอะอีกด้วย
 
สำหรับส่วนผสมของเมนูนี้ได้แก่ เนื้อมะขามป้อม หอมแดงซอย กระเทียมไทย กะปิห่อใบตองเผาให้หอม พริกขี้หนูสวนสีเขียวและสีแดง น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ปลาสลิดกรอบ ไข่เค็ม ผักสดตามชอบ เช่น แตงกวา ถั่วพู แครอต ขมิ้นสด ต่อมาวิธีการทำก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร โดยจะเริ่มจาก โขลกเนื้อมะขามป้อมพอละเอียด ตักขึ้นพักไว้ จากนั้นโขลกหอมแดง กระเทียม และกะปิพอละเอียด ใส่เนื้อมะขามป้อมลงไป

ตามด้วยพริกขี้หนูลงไปโขลกพอแตก ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บและน้ำปลา โขลกส่วนผสมพอเข้ากันอีกครั้ง ตักใส่ภาชนะ จัดเสิร์ฟพร้อมปลาสลิด ไข่เค็ม และผักสดตามชอบ เป็นอันเสร็จเรียร้อย สำหรับเมนูนี้ที่ประกอบด้วย มะขามป้อม ซึ่งเป็นผลไม้ที่วิตามินซีสูง ช่วยแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ นอกจากจะกินผลสดได้แล้วยังเอามาแปรรูปทำเป็นอาหารได้ด้วย แถมยังได้ประโยชน์เยอะอีกด้วย

เพราะมะขามป้อมนั้น เป็นสมุนไพรพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่ง เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีสูงมาก โดยประโยชน์มะขามป้อม หรือสรรพคุณมะขามป้อมนั้นมีมากมาย และยังใช้เป็นยารักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย นอกจากนี้ มะข้ามป้อมนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ, วิตามินบี 3, วิตามินซี, ธาตุแคลเซียม, ธาตุฟอสฟอรัส, ธาตุเหล็ก และยังประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต, ใยอาหาร เป็นต้น

สามารถบรรเทาอาการหวัด ลดอาการเจ็บคอ  ลดไข้ วิตามินซีและสารแทนนินที่มีอยู่สูงในมะขามป้อม มีส่วนช่วยส่งเสริมระบบการทำงานของร่างกาย เมื่อเริ่มรู้สึกไม่สบาย ให้นำมะขามป้อมมาคั้นน้ำดื่ม เนื่องจากมะขามป้อมเป็นยาเย็นจึงช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายได้

อย่างไรก็ตาม มะขามป้อมยังช่วยแก้อาการท้องผูก วิตามินซีในมะขามป้อมช่วยส่งเสริมระบบการขับถ่าย ส่วนยางของมะขามป้อมมีฤทธิ์ในการระบายได้อีกด้วย จึงมีการนำมาสกัดเป็นยาระบายได้เห็นมั้ยว่า ประโยชนน์เยอะแบบนี้ต้องลองนำสูตรอาหารเพื่อสุขภาพของเราไปลองทำรับประทานกันบ้างแล้ว
 
อย่างไรก็ตาม เราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย

เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเราจะต้องดูแลตัวเองให้มากๆ ดื่มน้ำมากๆ และต้องตระหนักถึงความปลอดภัยของสุขภาพร่างกายของเรา  ดังนั้น เราควรพยายามรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานในแต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย  ไม่จำเจอยู่เพียงอาหารไม่กี่ชนิด  เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพื่อที่จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงต่อไป

11
ตรวจสมรรถภาพปอด ลดความเสี่ยงโรคปอด เพิ่มโอกาสการรักษา

ในการดำรงชีวิต เราจำเป็นต้องหายใจเพื่อรับออกซิเจนและนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างการ โดยมี “ปอด” ที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนเข้าสู่ระบบเลือด และปอดก็จะกำจัดของเสียออกมาในรูปแบบของน้ำและก๊าซ
โรคปอดหรือโรคระบบทางเดินหายใจ ต้องรีบตรวจรักษา

โรคปอดหรือโรคระบบทางเดินหายใจ ถือว่าค่อนข้างอันตราย และส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ซึ่งโรคปอดในระยะเริ่มต้นมักจะไม่แสดงอาการ กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าเป็นโรคปอด ก็อาการหนักและยากต่อการรักษาให้หายขาด ดังนั้น เราจึงควรตรวจคัดกรองสุขภาพปอดเป็นประจำ แม้ยังไม่มีอาการ

กรณีเป็นโรคปอด โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง แล้วไม่ได้รับการรักษา ถึงวันหนึ่งก็อาจจำเป็นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งจะทำให้พังผืดที่ปอด และไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม ดังนั้น หากมีอาการผิดสังเกต ควรรีบตรวจสมรรถภาพปอดทันที มิเช่นนั้นอาจสายเกินไป

ทั้งนี้ โรคปอดที่พบได้บ่อย เช่น โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคปอดอักเสบหรือปอดบวม โรคถุงลมโป่งพอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มะเร็งปอด หอบหืด และวัณโรค

ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรองโรคปอด

    ผู้ที่สูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน
    ผู้ที่ทำงานในสถานที่ที่มีมลภาวะ ฝุ่น ควัน
    ผู้ที่ต้องสัมผัส หรือสูดดมสารเคมีเป็นประจำ
    ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคในระยะติดต่อ

ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรรีบตรวจสมรรถภาพปอด

จริงๆ แล้วการตรวจสมรรถภาพปอดสามารถตรวจได้ทุกเพศทุกวัย แม้ยังไม่มีอาการ แต่ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ก็ควรรีบตรวจทันที

    หายใจลำบาก
    เหนื่อยหอบ
    มีไข้หนาวสั่น
    ไอเรื้อรัง มีเสมหะ หรือมีเลือดปนเสมหะ
    หายใจหรือไอแล้วเจ็บหน้าอก หรือเจ็บชายโครง
    เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

ตรวจคัดกรองโรคปอดระยะแรกเริ่ม

ด้วยการตรวจสมรรถภาพปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์
การตรวจสมรรถภาพปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) เป็นการทดสอบการทำงานของปอดและระบบหายใจในทุกด้าน เพื่อวัดความจุและตรวจวัดขนาดของปอด ด้วยการหายใจเข้า-ออกผ่านเครื่อง Spirometry โดยการเป่าลมเข้าไปในเครื่อง ซึ่งสามารถช่วยวินิจฉัยโรค ความรุนแรงของโรค และวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น

นอกจากนี้ การตรวจสมรรถภาพปอดยังช่วยวินิจฉัยและติดตามโรคถุงลมโป่งพอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หรือโรคระบบหายใจอื่นๆ และช่วยประเมินความเสี่ยงด้านการหายใจก่อนผ่าตัด ซึ่งไม่สามารถตรวจได้ด้วยการเอกซเรย์
การเตรียมตัวก่อนตรวจสมรรถภาพปอด

    งดออกกำลังกายหนักก่อนตรวจอย่างน้อย 30 นาที
    ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนตรวจอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
    งดการสูบบุหรี่ก่อนตรวจ 24 ชั่วโมง
    สวมใส่เสื้อผ้าที่สบาย ไม่รัดบริเวณอกและท้องมากเกินไป
    หลีกเลี่ยงการทานอาหารอิ่มจัด
    งดการใช้ยาขยายหลอดลม

ทั้งนี้ หากมีอาการไอเป็นเลือด มีภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด ความดันโลหิตสูง เพิ่งได้รับการผ่าตัดตา ช่องอก ช่องท้อง หรือมีอาการเจ็บป่วยที่อื่นๆ ที่ส่งผลต่อปอดจะไม่สามารถตรวจสมรรถภาพปอดได้

การตรวจสมรรถภาพปอดเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในคัดกรองและการรักษา การเข้ารับการตรวจเร็ว หรือตรวจตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ จะทำให้เกิดการป้องกัน หรือได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีโอกาสหายขาดได้มากกว่า

12
เด็กที่ผ่านการจัดฟันเด็ก EF Line มาแล้ว เมื่อโตขึ้นสามารถเข้ารับการจัดฟันได้อีกหรือไม่

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เป็นเรื่องที่สำคัญมาก การที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม ก็ถือว่าเป็นต้นทุนของเราในการที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพฟันที่แข็งแรง ซึ่งในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็ควรที่จะได้รับการดูแลรักษาความสะอาดที่ดีเหมือนกัน ยิ่งในเด็กด้วยแล้ว ยิ่งต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะฟันของเด็ก ที่ยังเป็นฟันน้ำนม ส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้

ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่พ่อแม่ผู้ปกครอง คอยเอาใจใส่ในเรื่องขอวงสุขภาพฟันของเด็กตั้งแต่เล็กๆ ก็จะทำให้เด็กสามารถเติบโตไปเป็นคนที่มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามได้ สำหรับการรักษาฟันของเด็กที่มีความผิดปกติ ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ถึงแม้ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่คิดว่า การจัดฟันในเด็กนั้น ยังไม่มีความจำเป็น แต่เราอยากให้เข้าใจก่อนว่า การที่เด็กมีปัญหาฟันตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม จะส่งผลทำให้เด็กมีสุขภาพฟันที่ไม่ดีในอนาคตได้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะหมั่นสังเกตสัญญาณความผิดปกติของรูปร่างฟันและลักษณะการขึ้นของฟันของลูกน้อย และถ้ามีสัญญาณความผิดปกติ ก็ควรพาเด็กเข้าไปพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อทำการแก้ไข เพราะในปัจจุบันวงการทันตกรรมได้มีความก้าวหน้าไปมาก

ทำให้เด็กสามารเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ซึ่งเรียกว่า การจัดฟัน EF Line ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาฟันที่เกิดจากพฤติกรรมของเด็ก เช่น การดูดนิ้ว การดูดขวดนม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อการทำงานของฟันของลูกน้อย ได้ ดังนั้น การที่เด็กได้เข้ารับการจัดฟัน EF Line ก็จะช่วยแก้ไขในเรื่องของการทำงานที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อ ช่วยปรับตำแหน่งลิ้น และยังสามารถช่วยจัดการฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมได้ สำหรับวันนี้ทางคลินิก ของเราจะมาพูดถึงเรื่องของเด็กที่เคยผ่านการจัดฟันแบบ EF Line มาแล้ว ในอนาคตสามารถเข้ารับการจัดฟันได้อีกหรือไม่

ซึ่งแน่นอนว่า การจัดฟัน EF Line จะสามารถปรับโครงสร้างของใบหน้า ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น และช่วยทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามอยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนอายุมากขึ้น ถ้าหากเด็กมีปัญหาฟันผุหรือโรคเหงือกอักเสบหรือมีอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการสูญเสียฟัน แน่นอนว่า ปัญหาฟันก็จะต้องเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าเด็กจะเคยผ่านการจัดฟันแบบ EF Line มาแล้ว และในอนาคตเกิดมีปัญหาในเรื่องของฟัน ก็สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันได้

ซึ่งในปัจจุบันการจัดฟันก็มีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ สำหรับผู้ที่เคยผ่านการจัดฟันแบบ EF Line มาแล้ว เมื่อโตขึ้นก็สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้ เพราะจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันที่ไม่รุนแรงมากนัก ด้วยเครื่องมือการจัดฟันที่จะเป็นตัวช่วยทำให้ฟันเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องได้ หรือจะเข้ารับการจัดฟันในรูปแบบอื่นก็ได้ แต่ก่อนเข้ารับการรักษา ผู้เข้ารับการจัดฟัน จะต้องปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจช่องปากในเบื้องต้นเสียก่อน เพื่อให้ทันตแพทย์ได้พิจารณาว่า ปัญหาฟันของคุณเหมาะสมที่เข้ารับการจัดฟันในรูปแบบใด เพื่อให้มีผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด


สำหรับใครที่สนใจพาบุตรหลานของท่าน เข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟัน EF Line ก็สามารถติดต่อทางคลินิกได้ เพราะเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมของเด็ก และยังสามารถช่วยแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้อง หรือใครที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส ก็สามารถปรึกษาทันตแพทย์ที่คลินิกได้เช่นเดียวกัน

เพราะทางคลินิกของเราได้ผ่านการรับรองขั้นสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้ตามมาตรฐานสากล และยังมีความปลอดภัยด้วย เราอยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงาม ลดปัญหาการเกิดฟันผุ และยังช่วยส่งเสริมทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

13
โปรโมชั่นแท็บเล็ต เตรียมเปิดตัว! HONOR Pad X8a แท็บเล็ตรุ่นใหม่ จอใหญ่ 11 นิ้ว บางเบา จัดเต็มทุกความบันเทิง ราคาคุ้มค่า

ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก เตรียมเปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นใหม่ HONOR Pad X8a ที่มาพร้อมฟีเจอร์สุดล้ำ เพื่อตอบโจทย์ทั้งการทำงานและความบันเทิงแบบจัดเต็ม รุ่นนี้โดดเด่นด้วยจอแสดงผลถนอมดวงตาขนาดใหญ่ 11 นิ้ว อัตราการรีเฟรช 90Hz พร้อมแบตเตอรี่ทรงพลังความจุ 8300mAh ช่วยให้ผู้ใช้ใช้งานได้ยาวนานตลอดวันด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว


นอกจากนี้ยังสร้างประสบการณ์เสียงเหนือชั้นด้วยระบบลำโพงแอมพลิจูดขนาดใหญ่ 4 ตัว ผสานเทคโนโลยี HONOR Histen Sound Tuning และการรับรอง Dual Hi-Res เพื่อยกระดับความเพลิดเพลินทางเสียงและมอบคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด อีกทั้งยังมี Kids Edition เสมือนติวเตอร์ส่วนตัว ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็กและวัยเรียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีครอบครัวและวัยเรียนวัยทำงานที่ต้องการใช้แท็บเล็ตเป็นตัวช่วยในหลากหลายด้าน โดย HONOR Pad X8a มีทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ HONOR Pad X8a LTE และ HONOR Pad X8a WIFI เตรียมพร้อมเปิดราคาในประเทศไทย 30 กันยายนนี้


HONOR Pad X8a แท็บเล็ตรุ่นที่สองจาก HONOR Pad X8 เหมาะสำหรับการใช้งานอย่างครอบคลุม มาพร้อมดีไซน์เรียบหรู น้ำหนักเบาและตัวเครื่องบาง ทำให้พกพาง่าย ใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน โดยรุ่นนี้ อัดแน่นด้วยประสิทธิภาพการใช้งานที่เหนือชั้น ชูจุดขายด้วยจอแสดงผลพรีเมียมขนาดใหญ่ 11 นิ้ว ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีโดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานของมนุษย์เป็นหลัก ทั้งในด้านการถนอมสายตาและความคมชัดของภาพ เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมในทุกสถานการณ์ อีกทั้งยังให้แบตเตอรี่ความจุขนาดใหญ่พิเศษ 8300mAh ที่มอบอายุการใช้งานแบตฯ ที่ดีที่สุด รองรับการใช้งานต่อเนื่องยาวนานตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตฯ จะหมด พร้อมระบบชาร์จแบบมีสาย 10W ทำให้แท็บเล็ตพร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็วได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ยังมอบประสบการณ์เสียงที่ไม่มีใครเทียบได้ด้วยระบบลำโพง แอมพลิจูดขนาดใหญ่ 4 ตัว ผสานเทคโนโลยี HONOR Histen Sound Tuning ที่ยอดเยี่ยมด้วยเสียง 360° ที่มีชีวิตชีวา และการรับรอง Dual Hi-Res ให้เอฟเฟกต์เสียงที่หลากหลาย สมดุลและสมจริง ทำให้ผู้ใช้ดื่มด่ำไปกับเสียงที่น่าหลงใหลทั้งดูหนังและฟังเพลง


HONOR Pad X8a ยังเสริมการใช้งานด้านอื่น ๆ ด้วยประสิทธิภาพฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังจากชิปเซ็ต Qualcomm® Snapdragon® 680 ที่ช่วยให้การประมวลผลราบรื่นและรวดเร็ว พร้อมพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ 4GB+128GB ผสานกับเทคโนโลยี HONOR RAM Turbo ที่ช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการใช้งาน ไม่ว่าจะเปิดหลายแอปพลิเคชันพร้อมกันหรือจัดเก็บไฟล์ขนาดใหญ่ก็ทำได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ห้ามพลาด! เตรียมสัมผัสประสบการณ์การใช้งานแท็บเล็ตอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด HONOR Pad X8a เตรียมเปิดราคาอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 กันยายน 2567 โดย HONOR Pad X8a มีทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ HONOR Pad X8a LTE (4+128GB) เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2567 ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และ HONOR Pad X8a WIFI (4+128GB) เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2567 Exclusive เฉพาะช่องทาง Shopee และเปิดจำหน่ายทางออนไลน์ทุกช่องทางปกติ เริ่ม 9 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษมากมาย!

14
หมอออนไลน์: เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ (Cellulitis)

เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ เป็นการอักเสบของผิวหนังชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นที่อยู่ลึก (ชั้นไขมัน)

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ ซึ่งติดมาจากทางเดินหายใจ และสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มอื่น ส่วนน้อยอาจเกิดจากเชื้อสแตฟีโลค็อกคัส นิวโมค็อกคัส เชื้อแบคทีเรียแกรมลบ (เช่น วิบริโอวาลนิฟิคัส*) เชื้อเข้าไปทางบาดแผล รอยถลอก หรือรอยแตกแยกของผิวหนัง (เช่น แมลงกัด หนามตำ ผิวหนังมีรอยขีดข่วน)

ผู้ที่เป็นเบาหวาน เอดส์ กินยาสเตียรอยด์เป็นประจำ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ คนอ้วน หรือมีบาดแผลหรือโรคผิวหนัง (เช่น ผิวหนังอักเสบ อีสุกอีใส งูสวัด ฮ่องกงฟุต โซริอาซิสหรือสะเก็ดเงิน) แขนขาบวมเรื้อรัง หรือเคยเป็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบมาก่อน มีความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบมากกว่าปกติ

*ผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เบาหวาน มะเร็ง ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น ถ้ามีการติดเชื้อวิบริโอวาลนิฟิคัส (Vibrio vulnificus) ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับเชื้ออหิวาต์ เชื้ออาจเข้าสู่กระแสเลือดกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ มีอัตราตายสูงถึงประมาณร้อยละ 50

การติดเชื้อมักเกิดจากการกินอาหารทะเล (เช่น หอยนางรม) ที่ปนเปื้อนเชื้อนี้แบบดิบ ๆ ในคนที่แข็งแรงดี มักแสดงอาการแบบอาหารเป็นพิษ คือ ปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน หลังกินอาหารทะเลประมาณ 16 ชั่วโมง แต่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำโดยเฉพาะถ้าเป็นตับแข็ง ก็มักจะกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ มีอาการไข้ หนาวสั่น ความดันเลือดตก ผิวหนังขึ้นเป็นตุ่มน้ำ (bleb) ถ้าเป็นรุนแรงจะเป็นตุ่มน้ำที่มีเลือดปน (hemorrhagic bleb)

นอกจากนี้ อาจเกิดจากการสัมผัสกับน้ำทะเลที่มีเชื้อนี้โดยตรง เช่น ลงเล่นน้ำทะเลขณะมีบาดแผลที่ผิวหนัง ถูกปะการังหรือเปลือกหอยบาดในน้ำทะเล เป็นต้น ผู้ป่วยจะแสดงอาการแบบเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังส่วนลึกอักเสบ ซึ่งต่อมาจะเกิดตุ่มน้ำ มีเนื้อตายเกิดขึ้น และเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ

ภาวะร้ายแรงนี้ ยังอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียแกรมลบชนิดอื่น เช่น วิบริโออัลจิโนไลติคัส (Vibrio alginolyticus) วิบริโอพาราฮีโมไลติคัส (เชื้อชนิดหลังนี้จะมีอาการอาหารเป็นพิษร่วมด้วย ดู "อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรค" เพิ่มเติม)

ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยเป็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำที่มีเลือดปน หลังกินอาหารทะเลแบบดิบ ๆ หรือหลังเล่นน้ำทะเล ควรคิดถึงภาวะร้ายแรงชนิดนี้ และส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว ถ้าได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และการดูแลรอยโรคที่ผิวหนังได้ถูกต้องและทันท่วงที ก็มีโอกาสหายได้

ผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการกินหอยนางรมและอาหารทะเลแบบดิบ ๆ และการเล่นน้ำทะเลขณะมีบาดแผลที่ผิวหนัง ถ้าหากเล่นน้ำทะเลแล้วเกิดบาดแผล ถูกหอยหรือปะการังบาด ควรรีบทำความสะอาดด้วยน้ำกับสบู่และใส่ยาฆ่าเชื้อ (เช่น โพวิโดนไอโอดีน แอลกอฮอลล์) ทันที


อาการ

ผิวหนังมีลักษณะเป็นผื่นแดงจัด ลามออกอย่างรวดเร็ว กดเจ็บ และคลำดูออกร้อน ขอบผื่นไม่ชัดเจน และไม่ยกนูนจากผิวหนังปกติ (จะกลืนไปกับผิวหนังปกติ) ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นที่บริเวณขาและเท้า อาจพบที่ใบหน้า แขน มือ หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

อาจมีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงอาจโตและกดเจ็บ มีท่อน้ำเหลืองอักเสบเห็นเป็นเส้นสีแดง

บางรายอาจมีตุ่มน้ำหรือฝีร่วมด้วย ซึ่งเมื่อแตกจะมีเนื้อตายเกิดขึ้น

เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ
อาการแสดงของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ


ภาวะแทรกซ้อน

หากเป็นโรคนี้ซ้ำซาก อาจทำลายระบบทางเดินน้ำเหลือง ทำให้เท้าข้างเป็นโรคบวมเรื้อรังได้

เชื้ออาจลุกลามเข้าเนื้อเยื่อในชั้นที่อยู่ลึกลงไป ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง ทำให้เนื้อตาย และอาจลุกลามเข้ากระแสเลือดกลายเป็นโลหิตเป็นพิษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเบาหวาน กินยาสเตียรอยด์มานาน หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำจากสาเหตุอื่น

ในรายที่เกิดจากเชื้อบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ อาจทำให้เป็นหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันได้ (มีอาการไข้สูง บวมทั้งตัว ปัสสาวะสีแดง) ซึ่งพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ถ้าจำเป็นแพทย์จะนำหนองจากรอยโรคไปตรวจหาเชื้อ เอกซเรย์ หรือนำเลือดไปเพาะเชื้อในรายที่มีภาวะโลหิตเป็นพิษ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้ผู้ป่วยพักผ่อน พยายามอย่าเคลื่อนไหวส่วนที่อักเสบ และยกแขนหรือขาส่วนที่อักเสบให้สูง และใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ

ผู้ป่วยสามารถกินอาหารได้ตามปกติ ไม่มีของแสลง ควรกินอาหารพวกโปรตีน (เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ให้มาก ๆ

ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ถ้าปวดหรือมีไข้

2. ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลินวี, อีริโทรไมซิน, โคอะม็อกซิคราฟ) ถ้าดีขึ้นให้ยาปฏิชีวนะต่อจนครบ 10 วัน

3. ถ้าไม่ดีขึ้นใน 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรงหรือสงสัยมีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อน หรือพบในผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด บางรายอาจต้องทำการผ่าตัดระบายหนองหรือตัดเอาเนื้อตายออกไป


การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีไข้สูง หนาวสั่น ซึม เบื่ออาหาร หรือการอักเสบรุนแรงมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

เมื่อมีบาดแผล รอยถลอก หรือรอยแตกแยกของผิวหนัง (เช่น แมลงกัด หนามตำ ผิวหนังมีรอยขีดข่วน หรือ ฮ่องกงฟุต)

    ควรล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที เพื่อชะล้างเอาสิ่งสกปรกออกไป
    ทารอบแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน
    อย่าให้แผลถูกน้ำ หรือใช้น้ำลาย น้ำหมาก หรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ พอกที่แผล
    ควรพักส่วนที่เป็นบาดแผลให้มาก ๆ
    กินอาหารได้ตามปกติ ควรกินอาหารพวกโปรตีน ผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในทะเล และระวังไม่ให้แผลถูกน้ำทะเล
    ถ้าบาดแผลสกปรก แผลถูกสัตว์หรือคนกัด ถูกตะปู หรือถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวกพอง หรือพบบาดแผลในผู้ป่วยเบาหวาน เอดส์ โรคตับเรื้อรัง หรือโรคไตเรื้อรัง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม

ข้อแนะนำ

ผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่แรก หากปล่อยปละละเลย อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ เป็นอันตรายได้

15
การทดสอบระบบการทำงานของท่อลมร้อน

ถูกต้องครับ! เรามาสรุปและขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดสอบระบบการทำงานของท่อลมร้อนในโรงงาน เพื่อให้คุณมีความเข้าใจที่ครบถ้วนและนำไปปรับใช้ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นครับ

การทดสอบระบบการทำงานของท่อลมร้อนเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งหลังจากเสร็จสิ้นการติดตั้งและก่อนที่จะเริ่มใช้งานจริง เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะทำงานได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และตรงตามวัตถุประสงค์ที่ออกแบบไว้ การทดสอบนี้จะครอบคลุมหลายแง่มุม ดังนี้:

1. การทดสอบแรงดัน (Pressure Test)

วัตถุประสงค์: เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงและความสมบูรณ์ของท่อ, รอยเชื่อม, ข้อต่อ, และหน้าแปลนทั้งหมดว่าสามารถทนต่อแรงดันได้ตามที่ออกแบบไว้ และไม่มีการรั่วไหล

ประเภทที่ใช้บ่อย:

Hydrostatic Test (การทดสอบด้วยน้ำ):
หลักการ: เติมน้ำ (หรือของเหลวอื่น) เข้าไปในระบบท่อจนเต็ม ไล่อากาศออกให้หมด แล้วเพิ่มแรงดันน้ำให้สูงกว่าแรงดันใช้งานปกติ (ตามมาตรฐาน เช่น 1.5 เท่าของแรงดันออกแบบ) คงแรงดันไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง (เช่น 30-60 นาที)
ข้อดี: ปลอดภัยกว่ามาก เพราะน้ำไม่สามารถอัดตัวได้ หากเกิดการรั่วไหลหรือแตกร้าว พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจะน้อย
ข้อจำกัด: ต้องมีการระบายน้ำออกจากระบบหลังการทดสอบ, ต้องคำนึงถึงน้ำหนักของน้ำในท่อ (มีผลต่อโครงสร้าง), และท่อต้องทนน้ำได้ (ไม่เหมาะกับระบบที่ห้ามมีน้ำ)
Pneumatic Test (การทดสอบด้วยอากาศ/ก๊าซเฉื่อย):
หลักการ: อัดอากาศหรือก๊าซเฉื่อย (เช่น ไนโตรเจน) เข้าไปในระบบด้วยแรงดันที่กำหนด (มักจะต่ำกว่า Hydrostatic Test เล็กน้อย แต่ยังสูงกว่าแรงดันใช้งาน) คงแรงดันไว้
ข้อดี: ไม่ต้องระบายน้ำออก, เหมาะกับระบบที่ไม่ควรมีของเหลว
ข้อจำกัด: อันตรายสูงมาก เพราะก๊าซสามารถอัดตัวและสะสมพลังงานได้มหาศาล หากท่อระเบิดจะเกิดอันตรายร้ายแรง จึงต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดสูงสุด และมักถูกจำกัดการใช้งานในบางกรณีเท่านั้น
ขั้นตอนการดำเนินการ (โดยทั่วไป):

การเตรียมการ: ปิดวาล์วที่เกี่ยวข้อง, ติดตั้งเกจวัดแรงดันที่ได้รับการสอบเทียบ, ติดตั้งวาล์วระบายแรงดัน (Relief Valve) เพื่อป้องกันแรงดันเกิน
การเติมสารทดสอบ: ค่อยๆ เติมน้ำหรืออัดก๊าซอย่างช้าๆ โดยไล่อากาศออกจากจุดสูงสุดของระบบ
การเพิ่มแรงดัน: ค่อยๆ เพิ่มแรงดันอย่างสม่ำเสมอไปสู่ระดับที่กำหนด
การคงแรงดัน: รักษาแรงดันทดสอบไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด (Hold Time)
การตรวจสอบ: ตรวจสอบรอยเชื่อม, ข้อต่อ, หน้าแปลนทั้งหมดอย่างละเอียดด้วยสายตา (และใช้ฟองสบู่สำหรับ Pneumatic Test) เพื่อหารอยรั่วไหล
การลดแรงดัน: ค่อยๆ ลดแรงดันลงอย่างปลอดภัย


2. การตรวจสอบรอยเชื่อมด้วยวิธีไม่ทำลาย (Non-Destructive Testing - NDT)

วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินคุณภาพภายในของรอยเชื่อมโดยไม่ทำให้ชิ้นงานเสียหาย มักทำก่อนการทดสอบแรงดันเพื่อยืนยันความสมบูรณ์ของโครงสร้าง

วิธีการที่นิยม:
Radiographic Testing (RT) / X-ray: ใช้รังสี X-ray หรือ Gamma-ray ฉายผ่านรอยเชื่อมเพื่อตรวจหารอยแตก, ฟองอากาศ, การหลอมเหลวไม่สมบูรณ์
Ultrasonic Testing (UT): ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงส่งผ่านรอยเชื่อมเพื่อตรวจจับข้อบกพร่องภายใน
Magnetic Particle Testing (MT): สำหรับโลหะที่เป็นแม่เหล็ก ตรวจหารอยแตกที่ผิวหรือใกล้ผิว
Dye Penetrant Testing (PT): ใช้ของเหลวสีหรือเรืองแสงซึมเข้าสู่รอยแตกที่ผิว เพื่อตรวจหารอยแตกละเอียด


3. การทำความสะอาดภายในท่อ (Pre-Commissioning Cleaning)

วัตถุประสงค์: เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก, ฝุ่นละออง, เศษโลหะจากการเชื่อม/ตัด, หรืออนุภาคแปลกปลอมที่อาจตกค้างอยู่ในท่อก่อนการใช้งาน

วิธีการ: มักทำโดยการเป่าลมแรงสูงผ่านท่อ (Air Blowing) หรืออาจใช้ Flushing ด้วยน้ำ/สารละลายเคมี ขึ้นอยู่กับความสะอาดที่ต้องการของกระบวนการ


4. การทดสอบการทำงานด้วยลมร้อน (Hot Commissioning / Functional Test with Hot Air)

วัตถุประสงค์: เป็นการทดสอบการทำงานของระบบทั้งหมดภายใต้สภาวะการใช้งานจริง เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย

การทดสอบอุณหภูมิและการกระจายความร้อน:

เดินระบบ: เริ่มเดินระบบด้วยลมร้อนจริงอย่างช้าๆ และควบคุมอุณหภูมิและปริมาณลมตามที่ออกแบบไว้
การวัดอุณหภูมิ: ใช้เทอร์โมมิเตอร์ หรือกล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal Camera) วัดอุณหภูมิของลมร้อนที่จุดต่างๆ ตลอดแนวท่อ และที่จุดใช้งาน เพื่อตรวจสอบว่าได้อุณหภูมิตามที่ต้องการและมีการกระจายความร้อนสม่ำเสมอ
ประสิทธิภาพฉนวน: วัดอุณหภูมิพื้นผิวภายนอกของฉนวน เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยต่อการสัมผัสและมีการสูญเสียความร้อนน้อยที่สุด หากมีจุดร้อนผิดปกติ ต้องตรวจสอบและแก้ไข

การตรวจสอบการรั่วไหลของความร้อน/ลมร้อน:

การสังเกต: สังเกตการณ์ตามข้อต่อ, หน้าแปลน, วาล์ว, และรอยเชื่อม เพื่อหารอยรั่วไหลของลมร้อน
Thermal Camera: ใช้กล้องถ่ายภาพความร้อนเพื่อตรวจจับ Hot Spots ที่อาจบ่งชี้ถึงการรั่วไหลหรือฉนวนเสียหาย
การตรวจสอบการขยายตัวทางความร้อน (Thermal Expansion Check):

สังเกตการณ์: ขณะที่ท่อร้อนขึ้น สังเกตการณ์การเคลื่อนที่ของท่อที่จุดรองรับท่อ (Pipe Supports) และบริเวณ Expansion Joints/Loops
ยืนยันการทำงาน: ตรวจสอบว่าท่อสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระตามที่ออกแบบไว้ Support ทำงานปกติ และไม่มีส่วนใดติดขัดหรือสร้างความเค้นให้กับท่อหรือโครงสร้าง

การทดสอบประสิทธิภาพการไหลของลม:

วัดปริมาณลม/แรงดัน: ใช้เครื่องมือวัดความเร็วลม (Anemometer) หรือเครื่องวัดแรงดันลม (Manometer) เพื่อตรวจสอบปริมาณลมและแรงดันลมที่จุดต่างๆ ในระบบว่าตรงตามค่าที่ออกแบบไว้หรือไม่
ตรวจสอบพัดลม: ตรวจสอบการทำงานของพัดลม (Blower/Fan) ว่าทำงานปกติ, ไม่มีเสียงดังผิดปกติ, ไม่มีการสั่นสะเทือนมากเกินไป
การทดสอบระบบควบคุมและอุปกรณ์ (Control System & Instrumentation Test):

ฟังก์ชันการทำงาน: ตรวจสอบการทำงานของเซ็นเซอร์อุณหภูมิ, วาล์วควบคุม, ระบบควบคุมอัตโนมัติ (PLC/DCS) ว่าทำงานประสานกันได้ถูกต้องหรือไม่
ระบบความปลอดภัย: ทดสอบการทำงานของระบบเตือนภัย (Alarm) เมื่ออุณหภูมิหรือแรงดันผิดปกติ และทดสอบระบบตัดการทำงานฉุกเฉิน (ESD) ว่าสามารถทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้


5. การจัดทำเอกสารและการส่งมอบ (Documentation & Handover)

บันทึกผลการทดสอบ: จัดทำรายงานผลการทดสอบทั้งหมดอย่างละเอียด (รายงานการทดสอบแรงดัน, รายงาน NDT, Checklist การทดสอบ Hot Commissioning) พร้อมรูปภาพและข้อสังเกต
As-Built Drawings: อัปเดตแบบแปลนการติดตั้งให้เป็นไปตามสภาพจริง (As-Built Drawing)
คู่มือการใช้งานและบำรุงรักษา: จัดทำคู่มือการใช้งานระบบ, ตารางการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน, และขั้นตอนการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
การฝึกอบรม: ฝึกอบรมบุคลากรผู้ปฏิบัติงานและบำรุงรักษาให้มีความเข้าใจในการทำงานของระบบและการบำรุงรักษาอย่างปลอดภัย

การดำเนินการทดสอบเหล่านี้อย่างรอบคอบและเป็นระบบ โดยบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม จะช่วยให้ระบบท่อลมร้อนของคุณพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานในโรงงานครับ

หน้า: [1] 2 3 ... 28